เม้ามอยกับมามูมะ

10 ของฟรี ห้ามรับเด็ดขาด! รับมาแล้วชีวิตพังไม่รู้ตัว | คำเตือนจากคนโบราณ

10 ของฟรี ห้ามรับเด็ดขาด! รับมาแล้วชีวิตพังไม่รู้ตัว คำเตือนจากคนโบราณ

สวัสดีครับท่านผู้ฟังที่เคารพรักทุกท่าน ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักในวันนี้ ผมอยากจะบอกท่านก่อนว่า หากท่านฟังคลิปนี้จนจบ ท่านจะได้เรียนรู้ถึงวิธีป้องกันตัวเองจากพลังงานลบที่มองไม่เห็นซึ่งอาจติดมากับของบางอย่าง และที่สำคัญที่สุด ท่านจะได้เข้าใจวิธีเปลี่ยนเคราะห์กรรมให้เป็นโอกาสในการสร้างบุญบารมี เพื่อให้ชีวิตของท่านพบเจอแต่ความสุขและความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปครับและสำหรับท่านที่ฟังจนถึงท้ายคลิป… ผมจะมอบ “หัวใจสำคัญ” เพียงหนึ่งเดียว ที่เป็นหลักการสูงสุดในการให้และการรับของขวัญ ที่จะเปลี่ยนทุกการให้ของท่านให้กลายเป็น “การสร้างบารมี” และทุกการรับให้กลายเป็น “การรับพร” อย่างแท้จริง… อย่าพลาดนะครับ

วันนี้ เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องที่หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน นั่นคือ “10 สิ่งของที่ไม่ควรรับจากใคร แม้มูลค่าเพียงเล็กน้อย เพราะอาจดึงพลังลบและเคราะห์ร้ายมาสู่ตัวเราโดยไม่รู้ตัว”

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ไม่ได้อยากให้ท่านงมงายนะครับ แต่อยากให้ฟังด้วยใจที่เป็นกลาง ฟังเพื่อเป็น “เครื่องเตือนสติ” ดั่งคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้เราเป็นผู้มีสติ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ท่านผู้ฟังเคยรู้สึกไหมครับว่า ของบางอย่างที่เราได้มาฟรีๆ นั้น บางครั้งมันกลับมี “ราคาที่ต้องจ่าย” ในรูปแบบที่เรามองไม่เห็น… อาจเป็นความสบายใจที่ลดลง ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป หรือโชคลาภที่หดหาย นั่นแหละครับคือ “พลังงาน” หรือ “กรรม” ที่แฝงมาโดยที่เราไม่รู้ตัว การเลือกรับจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราต้องเลือกสิ่งที่ “เหมาะสม” และไม่สร้างโทษให้กับตนเองครับ

เอาล่ะครับ เรามาเริ่มการเดินทางสำรวจสิ่งของ 10 อย่างนี้ไปพร้อมๆ กัน

ลำดับที่ 1: มีด หรือ ของมีคมทุกชนิด

เหตุผลและความเชื่อ: “ความคม” มีหน้าที่เพื่อ “ตัด” และ “ฟัน” ให้สิ่งต่างๆ ขาดออกจากกัน พลังงานโดยธรรมชาติของมันคือการ “ตัดรอน” และ “ทำลาย” ในทางความเชื่อโบราณ จึงถือว่าการให้ของมีคมเปรียบเสมือนการมอบพลังแห่งการตัดรอนนั้นให้กับผู้รับโดยตรง ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนะครับ แต่ยังรวมไปถึงการตัดโชค ตัดลาภ ตัดโอกาสดีๆ ในชีวิตด้วย

ผมเคยได้ยินเรื่องราวของเพื่อนสองคนที่รักกันมาก เปิดบริษัททำธุรกิจร่วมกันมาเป็นสิบปี วันหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งเดินทางไปต่างประเทศแล้วซื้อมืดเซรามิกชุดใหญ่มาฝากเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพราะเห็นว่าเพื่อนชอบทำอาหาร ด้วยเจตนาที่ดีงามอย่างที่สุด แต่ท่านเชื่อไหมครับว่า หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศในที่ทำงานเริ่มเปลี่ยนไป มันมีความรู้สึก “เย็นชา” และ “ไม่ไว้วางใจ” เกิดขึ้น คำพูดที่เคยปรึกษาหารือกันกลายเป็นคำพูดที่บาดหู จนสุดท้ายมองหน้ากันไม่ติด ต้องแยกทางและปิดบริษัทที่สร้างกันมากับมือไปในที่สุด นี่คือพลังของการ “ตัดรอน” ที่แฝงมาโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: หากจำเป็นต้องรับ หรือรับมาแล้ว ให้แก้เคล็ดง่ายๆ ด้วยการมอบเงินเล็กน้อยให้ผู้ให้ อาจจะ 1 บาท 5 บาท หรือ 10 บาท พร้อมกล่าวว่า “ฉันขอซื้อนะ” เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “ของที่รับมาฟรี” ให้กลายเป็น “ของที่ซื้อมา” เป็นการใช้เจตนาของเรา “ตัด” พลังงานลบนั้นออกไปเสียก่อน

แล้วถ้าจะให้ล่ะ? ควรให้อะไรแทน? แทนที่จะให้ของมีคม ลองให้เป็นชุดตะเกียบสวยๆ หรือชุดช้อนส้อมที่ทำจากวัสดุดีๆ สิครับ สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของ “การทำงานร่วมกัน” การ “ตักตวงสิ่งดีๆ” เข้ามาในชีวิต เป็นการอวยพรให้เจริญรุ่งเรืองครับ

ลำดับที่ 2: ผ้าเช็ดหน้า

เหตุผลและความเชื่อ: ผ้าเช็ดหน้ามีหน้าที่หลักคือ “การซับ” โดยเฉพาะ “ซับน้ำตา” มันจึงเป็นวัตถุที่อม “พลังงานแห่งความโศกเศร้า” โดยตรง การมอบผ้าเช็ดหน้าให้กัน จึงเปรียบเหมือนการหยิบยื่นเรื่องราวที่ต้องทำให้เสียน้ำตา หรือความสัมพันธ์ที่ต้องจบลงด้วยการพลัดพรากจากกันไปให้

มีเรื่องเล่าของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่รักกันมาก ฝ่ายหญิงตั้งใจถักทอผ้าเช็ดหน้าปักชื่อของฝ่ายชายให้เป็นของขวัญวันเกิด หลังจากฝ่ายชายได้รับไป ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหา จากที่เคยหวานชื่นก็เต็มไปด้วยความระแวงและความน้อยใจ สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไปทั้งที่ยังรัก ทิ้งไว้เพียงความทรงจำอันน่าเศร้าและผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: เช่นเดียวกับของมีคมครับ ให้เราจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อเป็นค่าแก้เคล็ด อาจจะ 1 บาท หรือ 2 บาท เพื่อให้กลายเป็นการซื้อขาย ไม่ใช่การรับเอาความโศกเศร้ามา

ลำดับที่ 3: นาฬิกา

เหตุผลและความเชื่อ: ความเชื่อเรื่องนี้เด่นชัดมากในวัฒนธรรมจีน คำว่า “การให้ของขวัญเป็นนาฬิกา” พ้องเสียงกับคำว่า “การไปร่วมงานศพ” จึงถือเป็นการแช่งให้ผู้รับมีอายุสั้น แต่ในมิติของพลังงานที่ลึกกว่านั้น การให้นาฬิกาคือการมอบ “ขอบเขตของเวลา” คือการไป “จำกัด” ชีวิตของเขาให้อยู่ภายใต้กรอบเวลาที่เรามอบให้ ซึ่งอาจไปสกัดกั้นความเจริญก้าวหน้าแบบไร้ขีดจำกัดของเขาได้

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: ให้เงินจำนวนเล็กน้อยกลับไป เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า “เราเป็นผู้ซื้อเวลาด้วยตัวเราเอง” ชีวิตของเรา เราเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่เวลาที่ใครหยิบยื่นให้ครับ

ลำดับที่ 4: รองเท้า

เหตุผลและความเชื่อ: รองเท้าคือสัญลักษณ์ของ “การก้าวเดิน” และ “การจากไป” การมอบรองเท้าให้คนรักหรือหุ้นส่วน จึงมีความเชื่อว่าจะทำให้คนผู้นั้น “เดินจากไป” จากชีวิตเราในไม่ช้า ลองนึกภาพตามนะครับ รองเท้าคู่นั้นอาจจะนำพาเขาไปสู่เส้นทางใหม่ ที่ทำงานใหม่ หรือแม้แต่คนใหม่ จนทำให้ความสัมพันธ์ต้องห่างเหินและจบลง

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: ให้ใช้เงินเล็กน้อยแก้เคล็ดเช่นกันครับ เพื่อเปลี่ยนเป็นการซื้อ เป็นการประกาศเจตนาว่า “เราจะก้าวเดินไปบนเส้นทางของเราเอง และจะก้าวไปพร้อมๆ กัน”

ลำดับที่ 5: น้ำหอม

เหตุผลและความเชื่อ: น้ำหอมนั้นแม้จะหอมหวาน แต่กลิ่นของมัน “ไม่จีรังยั่งยืน” ไม่นานก็ “จืดจาง” และ “ระเหย” หายไปตามกาลเวลา พลังงานของมันจึงเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ที่หอมหวานในตอนต้น แต่สุดท้ายก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง แต่ถ้าจำเป็นต้องรับ ก็ให้แลกเปลี่ยนด้วยเงินเล็กน้อยเพื่อแก้เคล็ดเช่นเดิมครับ

(เสียงดนตรีแทรกเบาๆ เพื่อเป็นการพักครึ่ง)

จุดพักครึ่งทาง: ท่านเห็นรูปแบบอะไรบางอย่างไหมครับ?

ท่านผู้ฟังครับ… 5 ข้อแรกที่เราคุยกันไป ไม่ว่าจะเป็นการตัดรอน การซับน้ำตา การจำกัดเวลา การเดินจากไป หรือความจืดจาง ท่านเห็นรูปแบบที่ซ่อนอยู่ไหมครับ? มันคือ “พลังงานตามธรรมชาติของวัตถุ” สิ่งของเหล่านั้นถูกสร้างมาเพื่อทำหน้าที่แบบนั้นโดยตรง ความเชื่อโบราณจึงไม่ได้งมงาย แต่เป็นการสังเกตธรรมชาติของสิ่งของและเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตอย่างชาญฉลาด

เอาล่ะครับ… เรามาพักหายใจเข้าลึกๆ… (หยุด 2 วินาที) แล้วมาเดินทางกันต่อในอีก 5 ข้อที่เหลือ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับพลังงานที่มองไม่เห็นและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีกครับ

ลำดับที่ 6: เสื้อผ้าสีดำ

เหตุผลและความเชื่อ: สีดำในสังคมไทยและอีกหลายวัฒนธรรม ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของ “การไว้ทุกข์” และความโศกเศร้า มันคือสีที่ดูดซับพลังงานทุกอย่างเอาไว้รวมถึงพลังงานลบด้วย การมอบเสื้อผ้าสีดำให้กันในโอกาสทั่วไป โดยเฉพาะงานมงคล จึงเหมือนกับการหยิบยื่นความทุกข์โศกและความอับเฉาไปให้โดยไม่ตั้งใจ

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: หากผู้ให้มีเจตนาดี เราควรขอบคุณในน้ำใจ แต่ทางที่ดีอาจจะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ผู้ให้ไป เพื่อให้กลายเป็นการที่เราฝากเขาซื้อแทน ไม่ใช่การรับมาฟรีๆ

ลำดับที่ 7: เงิน ที่เราไม่ได้ร้องขอ

เหตุผลและความเชื่อ: ข้อนี้สำคัญและต้องระวังให้มากครับ เงินคือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ทรงพลัง มันซึมซับ “พลังงานและเจตนา” ของเจ้าของทุกคนที่มันเคยผ่านมือมา เงินที่ได้มาโดยสุจริตย่อมมีพลังงานที่ดี แต่เงินที่ได้มาจากการพนัน การทุจริต หรือเงินที่ใช้ในพิธีกรรมอย่าง “เงินปากผี” หรือเงินสะเดาะเคราะห์ จะเต็มไปด้วยพลังงานลบ ความทุกข์ และความปรารถนาที่จะ “ผลักไส” เคราะห์ร้ายออกจากตัวเจ้าของเดิม การรับเงินนั้นมาไว้กับตัว ก็เหมือนเราเปิดประตูรับเอาความทุกข์และเคราะห์กรรมเหล่านั้นมาไว้กับเราเต็มๆ

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: หากท่านได้รับมาโดยไม่ตั้งใจ หรือเก็บได้แล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง อย่าเก็บไว้กับตัวเด็ดขาด! สิ่งที่ต้องทำทันทีคือ “การเปลี่ยนพลังงานร้ายให้กลายเป็นบุญ” ให้นำเงินจำนวนนั้นไปทำบุญครับ หยอดตู้บริจาคที่วัดหรือมูลนิธิใกล้บ้านทันที การกระทำเช่นนี้เป็นการประกาศเจตนาว่า เราไม่ได้ต้องการเงินก้อนนี้ แต่ขอเปลี่ยนพลังงานลบให้กลายเป็น “อริยทรัพย์” เป็นการตัดวงจรและส่งต่อพลังงานให้สูงขึ้น

ลำดับที่ 8: ของฟรีจากมือคนแปลกหน้าที่เราไม่ได้ถามหา

เหตุผลและความเชื่อ: เคยไหมครับ เวลาเดินอยู่แล้วมีคนพยายามยื่นเครื่องรางเล็กๆ หรือของที่ระลึกให้ฟรีๆ เราต้องมีสติให้มาก เพราะเราไม่รู้เลยว่า “เจตนาที่แท้จริง” คืออะไร ของสิ่งนั้นผ่านพิธีกรรมอะไรมาบ้าง บางครั้งอาจเป็นกลอุบายของมิจฉาชีพ หรืออาจมีเจตนาแอบแฝงในการ “ถ่ายเท” พลังงานบางอย่างที่เราไม่ต้องการมาให้เรา

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่แรก ให้ปฏิเสธอย่างสุภาพที่สุดครับ แต่ถ้ารับมาแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี ให้รีบทิ้งไป หรือหากเป็นวัตถุที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ อาจนำไปฝากไว้ใต้ต้นโพธิ์ในวัด เพื่อให้พลังงานศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ช่วยชำระล้างครับ

ลำดับที่ 9: ต้นไม้ที่ย้ายจากวัดมาปลูกที่บ้าน

เหตุผลและความเชื่อ: วัดคือ “พุทธเขต” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ที่เติบโตในเขตวัดนั้นได้ดูดซับพลังงานจากการสวดมนต์ การปฏิบัติธรรม และแรงอธิษฐานของผู้คนมาเป็นเวลายาวนาน คนโบราณจึงเชื่อว่าต้นไม้เหล่านั้นมี “รุกขเทวดา” หรือเทพารักษ์ที่มีพลังงานสูงสถิตอยู่ การนำท่านมาไว้ที่บ้านซึ่งเป็นเคหสถานของปุถุชน ถือเป็นการกระทำที่ไม่สมควร อาจทำให้บ้านร้อนรุ่ม มีแต่เรื่องวุ่นวาย เพราะเรานำของสูงมาไว้ในที่ต่ำ ไม่ได้ให้ความเคารพอย่างที่ควรจะเป็น

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: หากได้รับมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อันดับแรกให้จุดธูป 16 ดอกกลางแจ้ง บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอขมาลาโทษ จากนั้นให้นำต้นไม้นั้นไปปลูกคืนในที่สาธารณะที่เป็นมงคล เช่น ในวัดอื่น หรือในสวนสาธารณะ พร้อมทั้งทำบุญอุทิศส่วนกุศลเพื่อเป็นการขอขมาและส่งท่านกลับสู่ที่ที่เหมาะสมครับ

ลำดับที่ 10: กระจกเงา

เหตุผลและความเชื่อ: กระจกไม่ได้สะท้อนแค่ภาพ แต่ยัง “บันทึกและสะท้อนพลังงาน” ได้ด้วย กระจกเก่าที่มาจากบ้านอื่น โดยเฉพาะจากร้านของเก่า เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันเคยสะท้อนภาพอะไร หรือบันทึกพลังงานแบบไหนเอาไว้บ้าง มันอาจเคยสะท้อนภาพความรุนในครอบครัว ความเจ็บป่วย หรือความเศร้าโศกมานับครั้งไม่ถ้วน การนำกระจกที่มีพลังงานลบสะสมอยู่เข้ามาในบ้าน ก็เหมือนการเปิดจอทีวีที่ฉายแต่เรื่องร้ายๆ ตลอดเวลา อาจทำให้คนในบ้านหดหู่ เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ

หากรับมาแล้วควรทำอย่างไร: ให้ทำการชำระล้างพลังงานด้วยการเช็ดกระจกด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำที่ผสมเกลือทะเลเพื่อล้างอาถรรพ์ จากนั้นให้นำไปตั้งในตำแหน่งที่หันหน้าเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น หิ้งพระ หรือหันออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงสว่างส่องถึง เพื่อให้พลังงานดีๆ ได้สะท้อนและขับไล่พลังงานลบออกไปครับ

บทสรุปและ “หัวใจสำคัญ” ที่ผมได้สัญญาไว้

เอาล่ะครับท่านผู้ฟัง เราเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายที่สำคัญที่สุดแล้ว

ทั้ง 10 ข้อที่กล่าวมานี้ ท่านจะเห็นได้ว่าหัวใจสำคัญของมันไม่ได้อยู่ที่ตัววัตถุเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “เจตนา” และ “สติ” ของเรา

และนี่คือ “หลักการสูงสุด” ที่ผมอยากมอบให้ท่านในวันนี้ครับ… “ทุกสรรพสิ่งล้วนมีพลังงาน จงเลือกรับและมอบแต่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความเจริญงอกงาม’ เท่านั้น”

ท่านผู้ฟังที่เคารพครับ หากเราจะให้ของขวัญใครสักคน แทนที่จะเป็นสิ่งของที่กล่าวมาทั้งหมด ลองเปลี่ยนเป็นสิ่งเหล่านี้ดูสิครับ…

ของที่สื่อถึง "การเติบโต": เช่น ต้นไม้มงคลเล็กๆ (ที่เราซื้อมาเองด้วยเจตนาดี) หรือชุดเมล็ดพันธุ์ดอกไม้สวยๆ มันคือการอวยพรให้ชีวิตของผู้รับเจริญงอกงามและเบ่งบาน

ของที่สื่อถึง "แสงสว่าง": เช่น โคมไฟสวยๆ เทียนหอมคุณภาพดี หรือหนังสือที่ให้ปัญญา มันคือการอวยพรให้ชีวิตของผู้รับมีแต่ความสว่างไสว พบทางออกในทุกปัญหา

ของที่สื่อถึง "ความอุดมสมบูรณ์": เช่น กระเช้าผลไม้สดใหม่ หรือชุดอาหารบำรุงสุขภาพดีๆ มันคือการอวยพรให้ผู้รับมีกินมีใช้ ไม่เจ็บไม่จน

การให้และการรับด้วยหลักการนี้ จะเปลี่ยนของขวัญธรรมดาๆ ให้กลายเป็นวัตถุมงคลที่ทรงพลัง เปลี่ยนจาก “การสร้างกรรม” มาเป็น “การสร้างบารมี” ทั้งต่อผู้ให้และผู้รับครับ

ขอให้ทุกท่านลองนำหลักการนี้ไปใช้ คิดก่อนรับ มีสติในการให้ หากท่านใดเห็นว่าเป็นประโยชน์ พิมพ์คำว่า ‘สาธุ’ เพื่อเป็นการส่งต่อพลังงานดีๆ ให้แก่กันและกันนะครับ… สาธุ

ปิดท้ายและเชิญชวน

ท่านผู้ฟังล่ะครับ เคยมีประสบการณ์ได้รับของแล้วรู้สึกดีมากๆ จนชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นบ้างไหมครับ ของสิ่งนั้นคืออะไร? ลองแบ่งปันเรื่องราว “ของขวัญแห่งความเจริญงอกงาม” ของท่านในคอมเมนต์ได้เลยนะครับ การแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ของท่านก็คือ “ธรรมทาน” ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นได้อย่างมหาศาล

และอย่าลืมนะครับว่า “การไม่รับบางอย่าง คือการปกป้องชีวิต และการเลือกให้บางอย่าง คือการสร้างชีวิต”

สุดท้ายนี้ หากท่านชื่นชอบเรื่องราวที่นำหลักธรรมะมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันแบบนี้ ขอความกรุณากดติดตามช่องของเราไว้ เพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกันใหม่ พร้อมเรื่องราวดีๆ ที่จะช่วยให้เรารู้เท่าทันชีวิตด้วยปัญญาจากพุทธศาสนาในทุกๆ วัน

สำหรับวันนี้ ขออำนาจบารมีแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกท่านเคารพนับถือ จงดลบันดาลให้ท่านผู้ฟังทุกท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสติปัญญาในการดำเนินชีวิต และแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงเทอญ

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

You may also like

ทดสอบ lemon8
เม้ามอยกับมามูมะ

เมื่อลองลงบทความวันพระ กับ บทความเลขเด็ดจากเชงเม้งเดย์

เมื่อมามูมะบุก lemon8 และทดลองลงโพสต์ใกล้ๆกัน โดยบทความแรกจะเกี่ยวกับวันพระ ทำไมต้องมีวันพระ รวมไปถึง การเล่าเรื่องต่างๆ จนมาจบลงที่ คำทำนายในวันนี้ว่า วันพระวันนี้จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้างรวมถึงให้เสี่ยงดวงว่าทำบุญอะไรดีในวันนี้ และ บทความที่สองจะเกี่ยวกับตัวเลขเด็ด เลขจากประทัดที่มามูมะได้เลขมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ในเพจมามูมะครับ และที่แอปบทมือถืออย่าง lemon8 รูปฝั่งซ้ายจะเป็นตัวเลข 2800+ ยอดคนดู สำหรับบทความที่สอง
ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย
เม้ามอยกับมามูมะ

วันดี วันร้าย ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย

การตัดผมถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องตัดอยู่เป็นประจำแต่ในวัฒนธรรมไทยกลับมองว่าเป็นพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่สำคัญ เนื่องมาจากความเชื่อและขนบธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่การเลือกวันและเวลาในการตัดผม การเลือกใช้เครื่องมือตัดผม ตลอดจนวิธีการจัดการกับเส้นผมที่ตัดออกมา ซึ่งล้วนมีจุดประสงค์เพื่อนำโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตนและครอบครัว โดยในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการตัดผมแบบไทยๆ ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต ซึ่งจะทำให้คุณได้ซาบซึ้งถึงรากเหง้าและสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของคนไทย เพื่อให้ไม่เสียเวลาของคนอ่านมากนัก เรามาดูกันว่า จะมีวันดี วันร้าย ตรงตามที่คุณรู้มาบ้างไหม ลองอ่านกันดูครับผม ในสมัยก่อนชาวบ้านจะเชื่อว่า การตัดผมในวันและเวลาหนึ่งๆ