มูให้ดู

5 วิธีแก้กรรมการเงินติดขัด…ด้วยตัวคุณเอง

5 วิธีแก้กรรมการเงินติดขัด…ด้วยตัวคุณเอง

ก่อนที่เราจะเข้าไปสู่เนื้อหาหลักในวันนี้ ผมอยากให้ท่านลองถามตัวเองสักนิดว่า ท่านกำลังรู้สึกว่าการเงินในชีวิตมันติดขัด หามาเท่าไรก็ไม่เคยพอใช้ มีเรื่องให้ต้องจ่ายออกไปตลอดเวลาหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ การรับฟังในวันนี้อาจเป็นแสงสว่างที่ท่านกำลังตามหาอยู่ เพราะเราจะพูดถึงวิธีปลดล็อกปมปัญหาเหล่านี้จากต้นตอที่อยู่ภายในจิตใจของเรา และสร้างเส้นทางแห่งความมั่งคั่งขึ้นมาใหม่ด้วยการกระทำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังครับ

เอาล่ะครับ วันนี้ในฐานะที่ผมได้ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม และได้พบปะพูดคุยกับผู้คนมากมาย ผมเข้าใจดีว่าปัญหาเรื่องปากท้องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อมันติดขัด ก็ทำให้ใจเราขุ่นมัว คิดอะไรไม่ปลอดโปร่ง วันนี้ผมจึงอยากจะมาแบ่งปันความจริงที่ลึกซึ้งกว่าแค่ตัวเลขในบัญชี นั่นคือเรื่องของ “พลังงาน” หรือที่เราเรียกในทางธรรมว่า “กรรม” ที่เกี่ยวพันกับการเงินของเราโดยตรง

ผมขอนำเสนอ “5 วิธีแก้กรรมการเงินติดขัด…ด้วยตัวคุณเอง” ที่ทุกท่านสามารถเริ่มต้นทำได้ทันทีจากที่บ้าน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อน ไม่ต้องเดินทางไปที่ไหนไกล แต่ใช้เพียงสองสิ่งที่ท่านมีอยู่แล้ว นั่นคือ “จิตที่ตั้งมั่น” และ “การลงมือทำ” ครับ

ข้อที่ 1: สวดมนต์และนั่งสมาธิทุกวัน

หลายคนอาจจะคิดว่าการสวดมนต์เป็นเพียงพิธีกรรม หรือเป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสวดมนต์คือการปรับจูนคลื่นพลังงานในตัวเราครับ ลองนึกภาพตามนะครับว่าในแต่ละวัน เราต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ทั้งความเครียด ความกดดัน คำพูดในแง่ลบ สิ่งเหล่านี้มันทำให้พลังงานรอบตัวเราและในจิตใจเราตกต่ำลง การสวดมนต์เปรียบเสมือนการเปิดคลื่นวิทยุให้ตรงกับสถานีธรรมะ จิตใจที่เคยฟุ้งซ่านจะค่อยๆ สงบลง เมื่อจิตสงบ ปัญญาก็เกิด และเป็นการเชื่อมต่อพลังของเรากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพลังงานเบื้องสูงที่เราเคารพนับถือ

สำหรับบทสวดที่อยากจะแนะนำเป็นพิเศษ มีดังนี้ครับ

คาถาพาหุงมหากา: บทนี้คือชัยชนะของพระพุทธเจ้าต่อหมู่มารและอุปสรรคทั้งปวง การสวดบทนี้เป็นการสร้างพลังใจให้เรามีกำลังที่จะเอาชนะปัญหาการเงินและหนี้สินต่างๆ ที่เปรียบเสมือนมารที่คอยขัดขวางชีวิตเรา

พระคาถาชินบัญชร: นี่คือเกราะเพชรคุ้มครองกายและใจครับ การสวดชินบัญชรเป็นประจำจะช่วยป้องกันสิ่งไม่ดี ปัดเป่าอุปสรรค และยังเสริมบารมีให้ตัวเราเป็นที่เมตตา ไม่ว่าเราจะไปติดต่อเจรจาเรื่องการงานการเงินใดๆ ก็จะราบรื่นขึ้น

คาถามหาจักรพรรดิ: เป็นคาถาที่ครอบคลุมทั้งเมตตามหานิยม โชคลาภ และการปรับภพภูมิให้กับเจ้ากรรมนายเวร การสวดบทนี้เป็นการแผ่เมตตาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะช่วยลดแรงอาฆาตจากเจ้ากรรมนายเวรที่อาจจะขัดขวางทางเงินของเราอยู่

คาถาเงินล้าน: บทนี้ตรงตัวที่สุดครับ แต่หัวใจของคาถาบทนี้ไม่ใช่การขอ แต่คือการประกาศคุณงามความดีและบารมีของครูบาอาจารย์เช่นหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เพื่อขอให้ผลบุญนั้นส่งผลเป็นโภคทรัพย์

ท่านไม่จำเป็นต้องสวดทั้งหมดนี้ในวันเดียวนะครับ เลือกบทที่ท่านรู้สึกผูกพัน หรือเริ่มจากบทสั้นๆ ก่อนก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความสม่ำเสมอ” และ “จิตที่จดจ่อ” ขณะสวด ไม่ใช่สวดแบบนกแก้วนกขุนทอง แต่ให้ระลึกถึงความหมายและอานุภาพของบทสวดนั้นๆ

มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งทำธุรกิจส่วนตัว วันหนึ่งเขามาปรึกษาว่ากิจการฝืดเคืองมาก หมุนเงินไม่ทัน ผมแนะนำให้เขาลองกลับไปสวดมนต์ นั่งสมาธิเช้าเย็น ขอแค่ 15 นาที เขาเริ่มทำอย่างจริงจัง ผ่านไปหนึ่งเดือน เขากลับมาเล่าให้ฟังว่า ไม่ได้มีปาฏิหาริย์ถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่จิตใจของเขาสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขามองเห็นทางออกของปัญหาที่เคยมืดแปดด้าน สามารถเจรจากับลูกค้าได้อย่างราบรื่นขึ้น และมีสติในการใช้จ่ายมากขึ้น นี่แหละครับ คือผลลัพธ์ด่านแรกที่ทรงพลังที่สุด

ข้อที่ 2: หยอดกระปุกบุญวันละนิด ทำบุญวันพระอย่างสม่ำเสมอ

การทำบุญ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเสมอไปครับ พลังของบุญไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงิน แต่วัดกันที่ “เจตนาอันบริสุทธิ์” และ “ความสม่ำเสมอ”

ผมอยากให้ทุกท่านลองหาประปุกเล็กๆ มาหนึ่งใบ ตั้งชื่อว่า “กระปุกบุญ” ในทุกๆ วัน ก่อนออกจากบ้านหรือก่อนนอน ให้หยอดเงินลงไปในกระปุกนั้น จะเป็นเหรียญบาท ห้าบาท สิบบาทก็ได้ตามกำลัง ขณะที่หยอด ให้ตั้งจิตอธิษฐานเบาๆ ในใจว่า “ข้าพเจ้าขอตั้งจิตทำบุญในวันนี้ ขอให้เงินจำนวนนี้จงกลายเป็นสมบัติทิพย์ เพื่อชำระหนี้กรรมด้านการเงิน และขอให้ผลบุญนี้เปิดทางแห่งโภคทรัพย์ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

การทำเช่นนี้ทุกวัน เป็นการสร้างวินัยในการให้ และเป็นการสะสมพลังงานบวกทีละเล็กทีละน้อย พอถึงวันพระ หรือเมื่อกระปุกเต็ม ให้นำเงินจำนวนนั้นไปทำบุญตามที่ท่านสะดวก เช่น:

ชำระหนี้สงฆ์: เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟวัด การทำบุญนี้เปรียบเสมือนการต่อแสงสว่างและหล่อเลี้ยงพระศาสนา ผลบุญจะกลับมาทำให้ชีวิตของเราสว่างไสว ไม่ติดขัด

ร่วมบุญสร้างโบสถ์ วิหาร หรือองค์พระ: เป็นการสร้างสิ่งที่ถาวรไว้ในพระพุทธศาสนา อานิสงส์จะทำให้เรามีชีวิตที่มั่นคง มีทรัพย์สมบัติที่ยั่งยืน

ช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรือทำบุญกับโรงพยาบาล: เป็นการให้ชีวิตและบรรเทาทุกข์ให้ผู้อื่น ผลบุญจะทำให้เราพ้นจากความทุกข์ยากและมีสุขภาพแข็งแรง

ขณะที่ท่านกำลังทำบุญ ขอให้อธิษฐานอีกครั้งว่า: “ขออานิสงส์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ จงสำเร็จแก่เทวดาประจำตัวของข้าพเจ้า ครูบาอาจารย์ และที่สำคัญที่สุด ขอส่งไปถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินไว้ในทุกภพทุกชาติ ขอท่านทั้งหลายโปรดอโหสิกรรม และเมื่อท่านได้รับบุญนี้แล้ว ขอได้โปรดเปิดทางสว่างในด้านการเงินการงานให้แก่ข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเทอญ”

เอาล่ะครับ ณ ตรงนี้ ผมอยากให้ทุกท่านที่ฟังอยู่ ลองตั้งจิตไปพร้อมๆ กัน พิมพ์คำว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการอนุโมทนาในบุญแห่งการให้ที่เราจะเริ่มต้นทำนับจากนี้ไปครับ… สาธุ… สาธุ… สาธุ…

ข้อที่ 3: อย่าปฏิเสธการร่วมบุญ โดยเฉพาะ “งานบวช” และ “ถวายผ้าไตร”

มีบุญประเภทหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไป แต่กลับมีอานิสงส์แรงมากในการปลดล็อกกรรมการเงิน นั่นคือบุญที่เกิดจากการส่งเสริมให้คนได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะการบวช คือการยกระดับชีวิตของคนๆ หนึ่ง จากปุถุชนผู้ยังเวียนว่ายในกิเลส ให้ก้าวขึ้นสู่เส้นทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ มันคือการ “ให้แสงสว่างทางปัญญา” การที่เราได้มีส่วนร่วมในบุญนี้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ถือเป็นการสร้างมหาบารมีครับ

ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าภาพงานบวชใหญ่โตเสมอไปครับ แค่ท่าน:

ร่วมถวายผ้าไตรจีวร หรือบาตร: ซึ่งเป็นบริขารสำคัญของพระภิกษุ เปรียบเสมือนการมอบเครื่องมือให้ท่านได้ใช้ในการศึกษาและปฏิบัติธรรม

เห็นกล่องรับบริจาคงานบวชในชุมชน ก็ร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา: แม้เพียงเล็กน้อย แต่เจตนาที่อยากจะส่งเสริมศาสนานั้นยิ่งใหญ่

หรือแม้แต่เมื่อท่านเห็นขบวนแห่นาค แค่ยกมือขึ้นประนม พร้อมเปล่งวาจาในใจว่า "ขออนุโมทนาบุญด้วยเถิด": จิตที่ยินดีในความดีของผู้อื่น (มุทิตาจิต) ก็ถือเป็นบุญอันบริสุทธิ์แล้วครับ

พลังบุญจากการส่งคนขึ้นสู่ทางสว่างนี้ จะย้อนกลับมาเปิดทางชีวิตที่เคยตีบตันของเราให้สว่างไสวขึ้นเช่นกัน เปรียบดังเราช่วยเปิดประตูให้คนอื่น จักรวาลก็จะช่วยเปิดประตูที่ปิดตายอยู่สำหรับเราเช่นกันครับ

ข้อที่ 4: เขียนชื่อและวันเกิด ฝากไว้ใต้ฐานพระประธาน หรือพระพุทธรูปที่บ้าน

นี่เป็นเคล็ดปฏิบัติที่คนโบราณทำกันมานานครับ และเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าที่เห็น เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

ให้ท่านเขียน ชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิดของตัวท่านเองและคนในครอบครัวที่ท่านรัก ลงในกระดาษแผ่นเล็กๆ แล้วนำไปสอดหรือวางไว้ใต้ฐานของพระพุทธรูปที่ท่านบูชาอยู่ที่บ้าน สิ่งสำคัญคือ พระพุทธรูปองค์นั้นจะต้องตั้งอยู่ในที่สูงกว่าศีรษะของเราเสมอ

การกระทำนี้ มีความหมายว่า เราขอน้อมนำดวงชะตาชีวิตของเราทั้งหมด “ฝากฝัง” ไว้ใต้ร่มบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้พระองค์ท่านได้โปรดคุ้มครองรักษา และที่สำคัญคือ เป็นการขอพึ่งพุทธบารมีในการแผ่เมตตาไปยังเจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น ให้พวกเขาเหล่านั้นได้มาร่วมอนุโมทนาบุญอยู่ใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธองค์ เมื่อเขาได้รับความร่มเย็น เขาก็จะคลายจากความอาฆาตพยาบาทและยอมอโหสิกรรมให้เรา

การปฏิบัตินี้ยังมีความคล้ายคลึงกับการ “ปิดทองหลังพระ” ครับ คือการทำความดีโดยไม่ต้องการให้ใครเห็น ไม่โอ้อวด เป็นความถ่อมตนและความเคารพอย่างสูง เมื่อเราทำความดีในที่ลับ ผลบุญที่เกิดขึ้นจะบริสุทธิ์และส่งผลอย่างเงียบๆ แต่หนักแน่น ทำให้จิตใจเรามั่นคงขึ้น เวลามีปัญหาเข้ามา ก็จะรู้สึกว่ามีทางออก มีคนคอยช่วยเหลืออย่างไม่คาดคิด เงินทองจะไม่ขาดมืออย่างน่าอัศจรรย์ครับ

ข้อที่ 5: เปลี่ยนพฤติกรรม “ใช้เงิน” ให้สอดคล้องกับพลังบุญ

ข้อนี้สำคัญที่สุดเลยครับ เพราะ 4 ข้อที่ผ่านมาคือการสร้างพลังบุญ แต่ข้อที่ 5 คือการ “รักษา” และ “ใช้” พลังงานนั้นให้ถูกต้อง กรรมคือการกระทำ การแก้กรรมจึงต้องจบลงที่การเปลี่ยนการกระทำในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วิธีที่เราใช้เงิน”

ลองสำรวจตัวเองและเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ดูนะครับ:

หยุดการใช้เงินด้วยอารมณ์ลบ: เช่น เวลาเครียด โกรธ หรือเสียใจ แล้วไปซื้อของแพงๆ เพื่อระบายอารมณ์ การกระทำเช่นนี้คือการส่งพลังงานลบออกไปพร้อมกับเงิน เงินที่จ่ายออกไปด้วยความทุกข์ จะดึงดูดความทุกข์ทางการเงินกลับมาหาเรา

เริ่มใช้เงินเพื่อการแบ่งปันและสร้างความสุข: เปลี่ยนมาเป็นการ "ใช้เงินด้วยเมตตา" แทนครับ เช่น เห็นคุณยายขายของริมทาง เราก็อุดหนุนท่าน หรือเจอเด็กวัด เด็กยากไร้ ก็ซื้อขนมให้เขาทาน ให้ทิปพนักงานบริการด้วยความเต็มใจ การใช้เงินเพื่อสร้างรอยยิ้มให้ผู้อื่น คือการเปลี่ยนเงินให้กลายเป็นพลังงานบวก และพลังงานบวกนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆ กลับเข้ามาในชีวิตเราเสมอ

จดบันทึกรายรับ-รายจ่าย ควบคู่ไปกับการจดบันทึกบุญที่ทำ: การจดบันทึกการเงินจะทำให้เรามี "สติ" ในการใช้จ่าย ส่วนการจดบันทึกบุญที่เราทำในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เช่น "วันนี้หยอดกระปุกบุญ 10 บาท" หรือ "วันนี้แชร์ธรรมะเป็นทาน" จะเป็นการตอกย้ำให้จิตใต้สำนึกของเราเห็นว่า "ฉันคือผู้สร้างและผู้ให้" เมื่อจิตของเรารู้สึกมั่งคั่งจากภายใน มันก็จะเริ่มดึงดูดความมั่งคั่งจากภายนอกเข้ามาเอง

จำคำของคนโบราณไว้ให้ดีนะครับ… “ใจที่สงบ คือแม่เหล็กดึงดูดทรัพย์” หากเรารู้จักใช้เงินอย่างมีสติและเปี่ยมด้วยเมตตา เงินทองก็จะไม่วิ่งหนีไปจากเราครับ

กัลยาณมิตรทุกท่านครับ ความติดขัดทางการเงินที่เราเผชิญอยู่ บางครั้งอาจไม่ใช่เพราะโชคชะตาฟ้าดิน แต่เป็นเพราะจิตของเรายังคงแบกรับพลังงานลบจากกรรมเก่าในอดีตเอาไว้ การปฏิบัติทั้ง 5 ข้อที่ผมได้กล่าวมานี้ คือกระบวนการชำระล้างพลังงานลบเหล่านั้น และสร้างพลังงานบวกขึ้นมาทดแทนอย่างเป็นระบบ

เริ่มต้นจากการปรับคลื่นพลังงานในจิตใจด้วยการสวดมนต์และสมาธิ สะสมเสบียงบุญอย่างสม่ำเสมอด้วยการให้ทาน รักษาศีล สร้างมหาบารมีด้วยการส่งเสริมพระศาสนา และปิดท้ายด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินในชีวิตประจำวันให้เปี่ยมด้วยสติและเมตตา

ขออย่าเพิ่งท้อแท้หรือคาดหวังว่าชีวิตจะเปลี่ยนในชั่วข้ามคืนนะครับ แต่ขอให้ท่านเชื่อมั่นว่า การกระทำเล็กๆ ที่สม่ำเสมอในทุกๆ วันนี่แหละ คือสิ่งที่ทรงพลังที่สุดในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา วันหนึ่งเมื่อพลังกรรมดีที่ท่านสร้างมีกำลังมากพอ มันจะนำพาชีวิตของท่านออกจากวงจรที่ติดขัดได้อย่างแน่นอนครับ

หากเนื้อหาในวันนี้มีประโยชน์และเป็นแสงสว่างให้กับท่าน ผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมบุญด้วยกันง่ายๆ ด้วยการ กดไลก์ กดแชร์ คลิปนี้ออกไปให้กับคนที่ท่านรัก หรือคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน การให้ธรรมะเป็นทาน ถือเป็นบุญอันสูงสุดครับ

และพิมพ์คำว่า “ขอให้ข้าพเจ้าและสรรพสัตว์ทั้งหลาย พ้นจากกรรมการเงิน และพบทางสว่างแห่งโภคทรัพย์เทอญ” เพื่อเป็นการตั้งสัจจะอธิษฐานและส่งพลังงานดีๆ นี้ให้แก่กันและกัน

สุดท้ายนี้ อย่าลืมกดติดตามช่องของเราไว้ เพื่อที่ท่านจะได้ไม่พลาดเคล็ดลับและหลักธรรมดีๆ ที่จะช่วยยกระดับพลังชีวิตของท่านให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ วัน ในครั้งต่อไป เราจะมาพูดคุยกันในหัวข้อที่น่าสนใจไม่แพ้กัน… นั่นคือเรื่องของ “สัญญาณเตือนจากเทวดาประจำตัว คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านกำลังพยายามสื่อสารอะไรกับคุณ” รอติดตามฟังกันนะครับ

สำหรับวันนี้ ขอให้ทุกท่านมีจิตใจที่สงบสว่าง และมีหนทางแห่งโภคทรัพย์ที่เปิดกว้าง… สาธุ…

You may also like

พระแม่ลักษมี ตึกเกษรวิลเลจ กรุงเทพ
ท่องเที่ยวไทย มูให้ดู

รีวิวพามาไหว้ “พระแม่ลักษมี ” ตึกเกษร

วันนี้ ออกมาเดินเล่นแถวสยาม มาบุญครอง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง เออร้านเดิมๆ ที่เคยเดิน เคยกินก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทำอะไรเสร็จแล้ว ได้ยินมาว่า “พระแม่ลักษมี” สามารถเข้ามาสักการะพระแม่ท่านได้แล้ว ที่ชั้น 4 ตึกเกษรวิลเลจ (หัวมุมดาดฟ้า) เพื่อไม่ให้เสียเวลาจะรอช้าอยู่ไย ผมได้ทำการเขียนวิธีการเดินทาง ประวัติความเป็นมาของพระแม่ลักษมี เวลาเปิดปิด คาถาบูชาท่าน
อานิสงส์ ของการ ปิดทองพระ ได้รับด้านใดบ้าง พร้อมความหมาย
มูให้ดู

การ “ปิดทองพระ” ได้รับอานิสงส์ด้านใด? เด่นด้านใดบ้าง?

สมัยก่อนตอนที่ยังเด็กๆ คุณพ่อและคุณแม่มักจะชอบพาผมไปวัดกับน้องอยู่บ่อยๆ ตอนมาถึงที่วัดก่อนจะเข้าไปไหว้รึทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็จะมีโต๊ะสำหรับชุดกราบไหว้ ไม่ว่าจะเป็น ธูปเอย เทียนเอย ดอกไม้ เช่น ดอกบัวอะเนอะ น้ำมันเติมตะเกียง และสุดท้าย แผ่นทองคำ ตอนเด็กๆ แม่ก็จะบอกว่าให้เอาแผ่นทองไปปิดทองตรงองค์พระท่าน ด้วยความเป็นเด็กก็สงสัย แล้วจะให้ปิดตรงไหน รึตรงไหนก็ได้ แม่บอกว่าแปะแผ่นทองที่หน้า ไม่ก็ที่ท้อง