ท่านได้ผูกโยงความสัมพันธ์ระหว่าง วันเกิดของเรา ซึ่งก็คือวันในสัปดาห์ กับพลังงานของดวงดาวประจำวัน และอาหารการกิน ว่าทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อกันและกันอย่างน่าอัศจรรย์ มันไม่ใช่เรื่องงมงายเสียทีเดียว แต่มันคือหลักสถิติ คือการสังเกตธรรมชาติและจิตใจมนุษย์อย่างแยบคาย ว่าพลังงานของแต่ละวันนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว และเราสามารถใช้อาหารเป็น “ยา” หรือเป็น “เครื่องมือ” เพื่อปรับจูนพลังชีวิตของเราให้เข้ากับวันนั้นๆ ได้
วันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปสำรวจความลับนี้ด้วยกัน ว่าใน 7 วันของสัปดาห์… คุณควรกินอะไรเพื่อเสริมพลัง หรือควรเลี่ยงอะไรเพื่อลดอุปสรรคบ้าง เราจะไปกันแบบช้าๆ ชัดๆ พร้อมเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยได้ยินมาครับ
วันจันทร์: วันแห่งความสงบนิ่ง
วันจันทร์นั้น โบราณถือว่าเป็นวันของ “พระจันทร์” ครับ สังเกตไหมครับว่าดวงจันทร์มีแสงนวลตา ให้ความรู้สึกสงบ เย็น และอ่อนโยน พลังงานของคนเกิดวันจันทร์ หรือพลังงานในวันจันทร์จึงเป็นไปในทิศทางนั้น คือความนุ่มนวล ความเมตตา และการดูแลเอาใจใส่
อาหารมงคล: จึงควรเป็นอาหารที่มี “สีขาวนวล” หรือมีรสชาติที่ “นุ่มนวล” ไม่รุนแรง เพื่อเสริมพลังงานด้านดีของพระจันทร์ให้เด่นชัดขึ้น
ตัวอย่างเช่น: แทนที่จะคิดถึงแค่ไข่ต้ม ลองนึกถึง แกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่ไก่ฉีก ที่ให้โปรตีนแต่ย่อยง่าย หรือ ข้าวต้มนายฮ้อยร้อนๆ ที่ช่วยให้ท้องไส้อบอุ่นสบายตั้งแต่เช้า นมถั่วเหลืองไม่ใส่น้ำตาล ก็ยอดเยี่ยม หรือจะเป็นเมนูอย่าง ปลาเนื้อขาวนึ่งซีอิ๊ว ก็ช่วยบำรุงสมองและไม่หนักท้อง ทำให้จิตใจปลอดโปร่งตลอดวัน การทานอาหารเหล่านี้ในวันจันทร์ ก็เปรียบเสมือนการเติมความสงบและความนุ่มนวลเข้าไปในจิตใจของเราครับ
อาหารควรเลี่ยง: คือ “ของเปรี้ยวจัด”
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ในทางกายภาพ รสเปรี้ยวจัดมันกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัวอย่างรุนแรง ทำให้เลือดลมสูบฉีด ซึ่งอาจขัดกับพลังงานของวันจันทร์ที่ต้องการความสงบเยือกเย็น ในทางความเชื่อโบราณ ท่านจึงมองว่ารสชาติที่ "โดด" เกินไปนี้ จะไปรบกวนความนิ่งของจิตใจ ทำให้วันนั้นอารมณ์แปรปรวนง่าย ตัดสินใจอะไรบนพื้นฐานของอารมณ์มากกว่าเหตุผล ลองนึกถึงพวก ยำมะม่วงรสจัดจ้าน หรือ มะนาวดอง ดูสิครับ การเลี่ยงของเหล่านี้ในวันจันทร์ จึงเป็นกุศโลบายให้เราฝึกควบคุมอารมณ์ให้ราบเรียบตั้งแต่ต้นสัปดาห์นั่นเอง
ท่านใดที่เกิดวันจันทร์ ลองพิสูจน์ดูนะครับ แล้วพิมพ์คำว่า “จิตใจสงบ” พร้อมกับคำว่า สาธุ เพื่อเป็นการน้อมรับพลังงานดีๆ เข้าตัวนะครับ
วันอังคาร: วันแห่งความกล้าหาญ
วันอังคาร คือวันของ “พระอังคาร” ซึ่งเปรียบดั่งเทพแห่งสงครามและความกล้าหาญ พลังงานของวันนี้จึงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ความมุ่งมั่น และพลังในการต่อสู้ฟันฝ่า
อาหารมงคล: จึงต้องเป็นอาหารที่ช่วยกระตุ้นพลังงานเหล่านี้ให้พุ่งขึ้นมา นั่นก็คือ “ของเผ็ดร้อน” ที่มีสีสันจัดจ้าน โดยเฉพาะ “สีแดง”
ตัวอย่างเช่น: ไม่ใช่แค่พริกแกงธรรมดา แต่อาจจะเป็น แกงป่าไก่ใส่กระชายเยอะๆ ที่ช่วยขับลมและทำให้เลือดไหลเวียนดี หรือ ต้มยำกุ้งน้ำข้น ที่มีทั้งรสเปรี้ยวเผ็ดร้อน ช่วยให้ตื่นตัวและกระฉับกระเฉง หรือแม้แต่ ผัดกะเพรารสจัดจ้าน ก็ช่วยปลุกพลังในตัวให้ลุกขึ้นมาพร้อมลุยกับงานที่ท้าทายได้ การกินอาหารเหล่านี้ในวันอังคาร ก็เหมือนการเติมเชื้อไฟแห่งความกล้าและการตัดสินใจให้เด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น
อาหารควรเลี่ยง: คือ “ของหวานจัด” และของที่เลี่ยนจนเกินไป
เหตุผลคืออะไร? ความหวานนั้นให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบาย และอาจนำไปสู่ความเฉื่อยชาได้ครับ คนโบราณท่านมองว่า หากในวันที่เราต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ แต่เรากลับไปเติมพลังงานแห่งความผ่อนคลายเข้าไปมากเกินไป มันอาจจะทำให้เราลังเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ขาดความจริงจัง หรือผัดวันประกันพรุ่งได้ เหมือนนักรบที่กำลังจะออกศึก แต่กลับไปนั่งจิบน้ำหวานเพลินๆ นั่นแหละครับ
ท่านที่เกิดวันอังคาร หรือท่านที่ต้องการพลังในการตัดสินใจในวันนั้น พิมพ์คำว่า “กล้าหาญเด็ดเดี่ยว” แล้วตามด้วย สาธุ มาได้เลยครับ
วันพุธ: วันแห่งการสื่อสารและปัญญา
วันพุธเป็นวันของ “พระพุธ” เทพแห่งการเจรจา การสื่อสาร สติปัญญา และไหวพริบปฏิภาณ สีประจำวันคือ “สีเขียว” ซึ่งเป็นสีแห่งธรรมชาติ การเติบโต และความสมดุล
อาหารมงคล: แน่นอนว่าต้องเป็น “ผักสดและผลไม้สีเขียว”
ตัวอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น: ไม่ใช่แค่แตงกวา แต่ลองนึกถึง คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ที่ให้ทั้งวิตามินและมีสีเขียวสด หรือ น้ำปวยเล้งปั่นผสมแอปเปิ้ลเขียว เพื่อดีท็อกซ์และเพิ่มความสดชื่นให้สมอง หรือแม้แต่ แกงเขียวหวาน ก็ถือเป็นอาหารมงคลของวันนี้เช่นกัน การบริโภคอาหารสีเขียวในวันนี้ เชื่อว่าจะช่วยเสริมเรื่องสมาธิ ทำให้สมองปลอดโปร่ง คิดอะไรก็ลื่นไหล การพูดจาเจรจาก็จะน่าเชื่อถือและประสบความสำเร็จ
อาหารควรเลี่ยง: คือ “กล้วยทุกชนิด”
นี่คือสุดยอดกุศโลบายครับ คนโบราณท่านไม่ได้หมายความว่ากินกล้วยแล้วจะโชคร้าย แต่ท่านใช้สัญลักษณ์ครับ กล้วยมีลักษณะ "ลื่น" และการปอกกล้วยเข้าปากมันก็ "ง่าย" ท่านจึงเตือนสติคนวันพุธ ซึ่งเป็นวันแห่งการเจรจาว่า... "จงระวังคำพูดที่อาจจะพลั้งเผลอ 'ลื่น' ไหลออกจากปากไปทำร้ายคนอื่น" และ "จงระวังอย่าทำงานแบบ 'เรื่องกล้วยๆ' หรือทำอะไรแบบง่ายๆ ชุ่ยๆ เพราะอาจจะ 'ลื่น' ล้มได้" เห็นไหมครับว่ามันลึกซึ้งเพียงใด มันคือเครื่องเตือนสติให้เราทำงานและสื่อสารอย่างรอบคอบนั่นเอง
ท่านใดเกิดวันพุธ พิมพ์คำว่า “วาจาเป็นทรัพย์” และ สาธุ เพื่อเสริมพลังการสื่อสารของท่านครับ
วันพฤหัสบดี: วันแห่งครูและปัญญา
วันพฤหัสบดี เป็นวันของ “พระพฤหัสบดี” ซึ่งถือเป็นบรมครูแห่งเทพ เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญา คุณธรรม และความเจริญงอกงาม สีประจำวันคือ “สีเหลือง” หรือ “สีส้ม” เหมือนสีจีวรพระ
อาหารมงคล: คือ “พืชผักสีเหลือง-ส้ม” ทั้งหลาย
ตัวอย่างเช่น: ฟักทองแกงบวด ที่ให้ทั้งความหวานมันและคุณค่าทางอาหาร, ซุปแครอท ที่ช่วยบำรุงสายตาและสมอง, ข้าวโพดต้ม หรือ มันเทศนึ่ง อาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีสีที่เป็นมงคล แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่บำรุงร่างกายและสมอง การกินอาหารเหล่านี้เปรียบเหมือนการเติมปัญญา เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และทำให้เรามีเหตุมีผลในการตัดสินใจมากขึ้น
อาหารควรเลี่ยง: คือ “การบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป”
เหตุผลเชิงธรรมะ: วันพฤหัสบดีเป็นวันครูบาอาจารย์ เป็นวันแห่งคุณธรรม คนโบราณจึงมองว่าการละเว้นหรือลดการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ในวันนี้ จะช่วยทำให้จิตใจเราผ่องใสและเบาสบายขึ้น การกินเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากเกินไป ท่านเชื่อว่าจะทำให้ "ใจร้อน" มีโทสะง่าย ซึ่งขัดกับคุณลักษณะของครูที่ต้องมีใจเยือกเย็นและเมตตา ดังนั้นการลดเนื้อสัตว์ในวันนี้ จึงเป็นการฝึกฝนจิตใจให้มีเมตตาธรรมไปในตัวครับ
ท่านผู้เกิดวันพฤหัสบดี หรือผู้ที่ต้องการความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน พิมพ์คำว่า “ปัญญาสว่างไสว” แล้วตามด้วย สาธุ ได้เลยครับ
วันศุกร์: วันแห่งความรักและศิลปะ
วันศุกร์เป็นวันของ “พระศุกร์” เทพแห่งความรัก ความงาม ศิลปะ และความสุขสมหวัง พลังงานของวันนี้จึงเป็นเรื่องของเสน่ห์ ความคิดสร้างสรรค์ และโชคลาภด้านความสัมพันธ์
อาหารมงคล: คือ “ของหวานหอม” และ “ผลไม้สีแดงสดใส”
ตัวอย่างที่ชวนให้รู้สึกดี: ลองนึกถึง ทับทิมกรอบ ที่มีสีแดงสวยงามและรสชาติหวานเย็นชื่นใจ หรือ เชอร์รี่สดๆ ที่ให้รสหวานอมเปรี้ยว หรือแม้แต่ ข้าวเหนียวหน้าปลาแห้ง ที่มีความหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ การทานของเหล่านี้ไม่ใช่แค่การตามใจปาก แต่เป็นการใช้รสชาติและสีสันเพื่อกระตุ้นพลังแห่งความสุขและเสน่ห์ในตัวเอง ทำให้วันนั้นเป็นวันที่สดใส มีแต่คนรักคนเมตตา
อาหารควรเลี่ยง: คือ “อาหารเค็มจัด” หรือของหมักดองที่มีรสเค็มนำ
ทำไมล่ะ? คนโบราณเปรียบเทียบรสเค็มกับ "ความทุกข์" ครับ เหมือน "ความเค็มของหยาดเหงื่อ" หรือ "ความเค็มของน้ำตา" ในวันศุกร์ซึ่งเป็นวันแห่งความสุข ท่านจึงแนะนำให้เลี่ยงรสชาติแห่งความทุกข์ยากนี้ เพื่อไม่ให้มันมาบั่นทอนพลังงานดีๆ ของเรา และเพื่อเป็นการเตือนสติว่า อย่าสร้างเหตุแห่งความทุกข์ใจให้แก่ตนเองและผู้อื่นในวันนี้นั่นเอง
ท่านที่เกิดวันศุกร์ หรือใครที่อยากเสริมเสน่ห์และความรัก พิมพ์ “เปี่ยมด้วยรักและเมตตา” พร้อมคำว่า สาธุ นะครับ
วันเสาร์: วันแห่งความหนักแน่นและอดทน
วันเสาร์ เป็นวันของ “พระเสาร์” เทพเจ้าแห่งความอดทน ความบากบั่น และบางครั้งก็เกี่ยวข้องกับความทุกข์โศกหรือการแบกรับภาระ พลังงานของวันนี้จึงมีความหนักแน่น จริงจัง และมั่นคง
อาหารมงคล: คืออาหารที่ผ่าน “ความร้อน” หรือมีลักษณะที่ “เข้มข้น” และ “รสจัด”
ตัวอย่างเช่น: ของปิ้งย่างต่างๆ เช่น ไก่ย่าง คอหมูย่าง ที่มีกลิ่นหอมจากการย่างไฟ หรือ อาหารที่มีรสขมเล็กน้อย เช่น แกงขี้เหล็ก ซึ่งโบราณว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" การกินของขมในวันเสาร์จึงเปรียบเหมือนการกินยาเพื่อสู้กับอุปสรรค หรือ อาหารรสจัดจ้าน ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว มีพลังที่จะแบกรับภาระต่างๆ ได้ตลอดวัน
อาหารควรเลี่ยง: คือ “อาหารสีดำ” โดยเฉพาะที่มาจากสัตว์
เหตุผลเชิงสัญลักษณ์: สีดำมักจะถูกโยงเข้ากับเงาราหู หรือพลังงานลบ ความโศกเศร้า การเลี่ยงอาหารอย่าง เลือดหมู เลือดไก่ หรือ เฉาก๊วย (ในบางตำรา) ในวันนี้ จึงเป็นกุศโลบายเพื่อเตือนสติไม่ให้เราดึงดูดพลังงานด้านลบเข้ามาในชีวิต ไม่ให้จมอยู่กับความทุกข์หรือความคิดที่มืดมน แต่ให้ลุกขึ้นสู้ด้วยพลังจากอาหารมงคลที่เรากินเข้าไปแทน
สำหรับท่านที่เกิดวันเสาร์ ผู้มีความอดทนเป็นเลิศ พิมพ์ “มั่นคงดุจขุนเขา” และ สาธุ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองครับ
วันอาทิตย์: วันแห่งเกียรติยศและผู้นำ
และแล้วก็มาถึงวันอาทิตย์ วันของ “พระอาทิตย์” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำ อำนาจ บารมี เกียรติยศ และความเชื่อมั่นในตนเอง
อาหารมงคล: จึงเป็นอาหารที่สง่างาม มีสีสันสดใส โดยเฉพาะ “สีแดง” และเป็น “ราชาหรือราชินีแห่งผลไม้”
ตัวอย่างเช่น: ไข่ ถือเป็นตัวแทนของพระอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ดาว ไข่เจียว ก็ถือเป็นอาหารมงคลอย่างยิ่ง หรือจะเป็นผลไม้รสหวานจัดที่โดดเด่นอย่าง มะม่วงสุกสีทองอร่าม หรือ ทุเรียน (ทานแต่พอดี) การทานอาหารเหล่านี้ในวันอาทิตย์ ก็เหมือนกับการประกาศศักดาและเติมพลังแห่งความเป็นผู้นำให้กับตัวเอง ทำให้เรามีความมั่นใจและพร้อมที่จะนำพาทุกอย่างไปสู่ความสำเร็จ
อาหารควรเลี่ยง: คือ “ของทอด ของมันมากเกินไป”
เพราะอะไร? ความมันและความหนักของอาหารทอด จะทำให้เรารู้สึก "หนักใจ" "หนักตัว" และไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ซึ่งขัดกับพลังของพระอาทิตย์ที่ต้องส่องสว่างและมีพลังงานอยู่เสมอ การเลี่ยงของมันจึงเป็นการช่วยให้ร่างกายและจิตใจเบาสบาย ไม่หนักอึ้ง ทำให้มีพลังในการคิดและตัดสินใจในฐานะผู้นำได้อย่างเต็มที่
ท่านที่เกิดวันอาทิตย์ หรือผู้ที่ต้องรับบทบาทผู้นำในทุกๆ วัน พิมพ์คำว่า “รุ่งโรจน์ดุจตะวัน” แล้วตามด้วย สาธุ เพื่อรับพลังบารมีครับ
ท่านผู้ฟังที่รักทุกท่านครับ… ทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมานี้ ขอให้ท่านรับฟังด้วยปัญญาและสติ โปรดเข้าใจว่าความเชื่อเหล่านี้เป็นเพียง “แนวทาง” ที่บรรพบุรุษมอบให้ เป็นกุศโลบายเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเป็นเครื่องเตือนใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน
หัวใจที่แท้จริงของเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่ากินอะไรแล้วจะรวย หรือเลี่ยงอะไรแล้วจะไม่ป่วย แต่มันอยู่ที่ “การมีสติรู้ตัว” ในทุกๆ คำที่เราจะนำเข้าสู่ร่างกายต่างหาก
สุดท้ายแล้ว… ไม่ว่าเราจะกินอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ การกินด้วยใจที่มีสติ รู้คุณค่าของอาหาร ขอบคุณชาวนา ขอบคุณพ่อครัวแม่ครัว และเลือกในสิ่งที่ทำให้ร่างกายนี้แข็งแรง เพื่อที่เราจะได้มีเรี่ยวแรงในการสร้างคุณงามความดีต่อไป
แล้วคุณล่ะครับ… วันเกิดของคุณตรงกับวันไหน และคุณเคยลองสังเกตไหมว่า กินอะไรแล้ววันนั้นทั้งวันมันราบรื่นเป็นพิเศษ? ลองนำศาสตร์นี้ไปปรับใช้ดู แล้วกลับมาแบ่งปันประสบการณ์ของท่านในคอมเมนต์ข้างล่างนี้ได้เลยนะครับ ผมจะรออ่านทุกข้อความ
หากท่านเห็นว่าเนื้อหานี้เป็นประโยชน์ สามารถชี้ทางสว่างให้แก่ชีวิตได้ โปรดเมตตากดติดตามช่องของเราไว้ และกดกระดิ่งแจ้งเตือน เพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกันอีกในธรรมทานและสาระดีๆ ครั้งต่อไปนะครับ
สำหรับวันนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการกินอย่างมีสติ สวัสดีครับ…