เม้ามอยกับมามูมะ

10 ข้อปฏิบัติวันสารทจีน พลาดแล้วจะเสียใจ! จัดไหว้ให้ถูกวิธี รับโชคเต็มๆ

10 ข้อปฏิบัติวันสารทจีน พลาดแล้วจะเสียใจ! จัดไหว้ให้ถูกวิธี รับโชคเต็มๆ

สำหรับปีพุทธศักราช 2568 นี้ วันสารทจีน หรือวันเปิดประตูมิติภพภูมิ จะตรงกับ วันเสาร์ที่ 6 กันยายน

นี่คือวันศูนย์กลางของเดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติ ที่เรียกขานกันว่า “เดือนผี” แต่วันนี้ผมอยากจะเชิญชวนทุกท่านมองให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่เดือนแห่งความน่ากลัว แต่เป็นเดือนแห่งความเมตตาอันไพศาล เดือนแห่งการให้อภัย และเดือนแห่งการแสดงความกตัญญูต่อรากเหง้าของเรา

วันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของวันสารทจีน และถอดรหัสภูมิปัญญาที่ซ่อนอยู่ใน 10 ข้อปฏิบัติวันสารทจีนและพึงระวัง ที่บรรพชนของเราได้มอบไว้ให้เป็นเครื่องนำทาง เพื่อให้ลูกหลานได้ก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างสวัสดีมีมงคล

วันสารทจีน หรือ จงหยวนเจี๋ย นั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าที่เราเคยเข้าใจ ในความเชื่อทางลัทธิเต๋า วันนี้คือวันประสูติของเทพเจ้าผู้พิทักษ์โลกมนุษย์ หรือ “ตี้กวน” เทพผู้ทำหน้าที่ตัดสินความดีความชอบและให้อภัยแก่ดวงวิญญาณทั้งหลาย

ท่านจะตรวจดูบัญชีบุญบาป และมีเมตตาบัญชาให้เปิดประตูแห่งภพภูมิ เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณที่ทุกข์ทน ให้ได้กลับมารับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติพี่น้องบนโลกมนุษย์ นี่จึงเปรียบเสมือน “วันแห่งการอภัยโทษครั้งใหญ่” ของเหล่าดวงวิญญาณ

ในขณะที่ทางพุทธศาสนามหายาน ก็มีเรื่องราวอันสอดคล้องกันใน เทศกาลอุลลัมพนะ ซึ่งมาจากตำนานของพระมหาโมคคัลลานะเถระ ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ท่านได้เล็งเห็นมารดาของท่านไปเกิดเป็นเปรตได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ด้วยความกตัญญูอันเปี่ยมล้น ท่านจึงได้จัดถวายมหาทานแด่พระสงฆ์จำนวนมากในวันออกพรรษา ด้วยอานิสงส์อันยิ่งใหญ่นี้เอง จึงสามารถปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับมารดาของท่านได้สำเร็จ

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อสายใด แก่นแท้ของวันสารทจีนนั้นตั้งอยู่บนคุณธรรมสองประการที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ ความกตัญญู ต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ และ ความเมตตา ที่เผื่อแผ่ไปถึงดวงวิญญาณไร้ญาติ หรือ “ฮ่อเฮียตี๋” ซึ่งเป็นการบำเพ็ญทานบารมีอันประเสริฐสุด

เมื่อมิติภพภูมิเปิดออก พลังงานต่างๆ ย่อมปะปนกันอยู่ทั่วไป บรรพชนของเราจึงได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ 10 ประการ ซึ่งไม่ใช่ข้อห้ามที่สร้างความกลัว แต่เป็น “กุศโลบาย” หรืออุบายอันชาญฉลาด ที่สอนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและเคารพต่อทุกสรรพสิ่ง

ข้อที่ 1: พึงระวังการเดินทางในยามวิกาล
ในยามค่ำคืนนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เหล่าดวงวิญญาณจะสัญจรไปมาได้อย่างอิสระ การที่เราออกไปในสถานที่ที่ไม่ควรอยู่ จึงอาจเปรียบได้กับการเดินเข้าไปรบกวนเส้นทางของพวกเขาโดยไม่เจตนา ซึ่งภูมิปัญญาข้อนี้ ก็คือคำสอนอันชาญฉลาดที่ให้เรารู้จักกาลเทศะ เพราะอันตรายในโลกมนุษย์ยามวิกาลนั้นมีอยู่จริง ทั้งอุบัติเหตุและมิจฉาชีพ การพักผ่อนอยู่กับครอบครัวจึงเป็นเกราะป้องกันภัยที่ดีที่สุดครับ

ข้อที่ 2: พึงระวังการเรียกขานชื่อแซ่ในที่เปลี่ยว
คนโบราณท่านสอนไว้ว่า การเอ่ยชื่อใครในความมืด อาจเป็นการชี้เป้าให้ดวงวิญญาณรับรู้ถึงตัวตนของเรา และหากได้ยินเสียงเรียกโดยไม่เห็นตัวตน ก็ไม่ควรขานรับในทันที แก่นแท้ของคำสอนข้อนี้ คือการฝึกให้เรามีสติในการใช้เสียงในที่สงัด เพราะความเงียบยามค่ำคืนนั้นทำให้เสียงเดินทางไปได้ไกล การตะโกนโหวกเหวกอาจดึงดูดความสนใจจากบุคคลไม่หวังดีได้เช่นกัน การสำรวมวาจาจึงเป็นเกราะป้องกันตนที่ประเสริฐสุด

ข้อที่ 3: พึงละเว้นการตากเสื้อผ้าข้ามคืน
มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า เสื้อผ้าที่ตากทิ้งไว้ข้ามคืนนั้น ด้วยรูปทรงที่คล้ายมนุษย์ อาจเป็นที่ต้องตาต้องใจของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน ที่จะเข้ามาลองสวมใส่และทิ้งพลังงานบางอย่างไว้ ซึ่งหากมองในทางวิทยาศาสตร์แล้ว กุศโลบายข้อนี้ก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะการตากผ้าตอนกลางคืนมีความชื้นสูง ทำให้ผ้าอับและอาจเป็นที่ซ่อนของแมลงหรือสัตว์มีพิษได้ การเก็บผ้าก่อนตะวันตกดิน จึงเป็นทั้งการป้องกันตนเองและเป็นสุขลักษณะที่ดีครับ

ข้อที่ 4: พึงให้เกียรติของเซ่นไหว้
อาหารและเครื่องเซ่นไหว้ที่ตั้งใจอุทิศให้บรรพบุรุษและดวงวิญญาณแล้วนั้น ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ การไปหยิบฉวยทานก่อนพิธีจะเสร็จสิ้น หรือการกระทำอันเป็นการลบหลู่อย่างการเดินข้ามหรือนั่งทับ ถือเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างรุนแรง นี่คือบทเรียนที่สอนใจเราโดยตรงในเรื่องของความเคารพ การอดทนรอคอย และการให้เกียรติผู้อื่นก่อนตนเอง ซึ่งเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จะนำความเจริญมาสู่ผู้ปฏิบัติเสมอ

ข้อที่ 5: พึงสำรวมวาจา ไม่ท้าทายสิ่งลี้ลับ
คำพูดนั้นมีพลังงาน คนโบราณจึงตักเตือนเสมอว่า การกล่าวคำหยาบคายหรือท้าทายต่อสิ่งที่เรามองไม่เห็น เปรียบเสมือนการส่งคำเชิญไปยังพลังงานเหล่านั้นโดยตรง หลักธรรมข้อนี้สอนให้เรารับผิดชอบต่อทุกถ้อยคำที่ออกจากปาก ดั่งคำที่ว่า “วาจาเป็นนาย กายเป็นบ่าว” การไม่พูดในสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ คือการปิดประตูแห่งความเดือดร้อนทั้งปวงที่จะเข้ามาสู่ตัวเรานั่นเอง

ข้อที่ 6: พึงหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางน้ำในยามค่ำคืน
ธาตุน้ำนั้นเป็นสื่อกลางระหว่างภพภูมิ และเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเหล่าสัมภเวสี การลงไปในน้ำตอนกลางคืนจึงอาจเป็นการรบกวนพวกเขาได้ นี่เป็นคำเตือนที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะการลงน้ำในที่มืดนั้นอันตราย ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำ อาจเหยียบของมีคม หรือถูกสัตว์น้ำทำร้าย และยังเสี่ยงต่อการเป็นตะคริวได้ง่าย การป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอครับ

ข้อที่ 7: พึงระวังการถ่ายภาพในที่มืดและสถานที่อาถรรพ์
แสงแฟลชในยามวิกาลนั้น เชื่อกันว่าอาจเป็นการเปิดมิติพลังงาน และอาจบันทึกภาพของสิ่งที่ดวงตาเรามองไม่เห็นติดกลับมาด้วย กุศโลบายข้อนี้คือการสอนให้เรารู้จักเคารพสถานที่ การไม่ไปลองของหรือลบหลู่ในสถานที่ที่ผู้คนให้ความยำเกรง คือการแสดงความมีสัมมาคารวะ และเป็นการป้องกันตนเองจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความคึกคะนองได้เป็นอย่างดี

ข้อที่ 8: พึงรักษาโชคลาภ ไม่กวาดบ้านตอนกลางคืน
ในช่วงสารทจีนที่บรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมเยียนและนำพรโชคลาภมาให้นั้น การกวาดบ้านตอนกลางคืนเปรียบเสมือนการกวาดเอาสิริมงคลเหล่านั้นออกไปจากบ้าน นี่คือการสอนให้เรารู้จักบริหารจัดการเวลาอย่างเหมาะสม กลางวันคือเวลาทำงาน กลางคืนคือเวลาพักผ่อน การทำงานบ้านในที่มีแสงสว่างย่อมปลอดภัยและสะอาดกว่า และการพักผ่อนที่เพียงพอก็คือการสะสมพลังงานมงคลให้ชีวิตในวันรุ่งขึ้นนั่นเองครับ

ข้อที่ 9: พึงอยู่ห่างไกลจากอบายมุขและการพนัน
เชื่อกันว่าดวงวิญญาณที่ครั้งยังมีชีวิตเคยลุ่มหลงในการพนัน จะยังคงวนเวียนและเข้าสิงสู่ผู้ที่ตั้งวงเสี่ยงโชค ทำให้เสียทรัพย์จนหมดตัว นี่คือคำเตือนสติที่ตรงไปตรงมาที่สุดว่า การพนันไม่เคยสร้างความยั่งยืนให้ใคร มีแต่จะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและครอบครัว การใช้ช่วงเวลานี้ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ย่อมดีกว่าการมัวเมาในสิ่งที่จะฉุดรั้งชีวิตให้ตกต่ำ

ข้อที่ 10: พึงมีสติ ไม่หันหลังขานรับเสียงเรียกที่ไม่เห็นตัว
คนโบราณเชื่อว่าคนเรามี “ไฟทิพย์” สามกองคอยคุ้มครองอยู่ คือบนศีรษะและบ่าทั้งสองข้าง การหันหลังหรือหันมองข้ามไหล่อย่างรวดเร็วในยามค่ำคืน อาจทำให้ไฟนั้นดับลงและง่ายต่อการถูกสิ่งไม่ดีเข้าใกล้ได้ ภูมิปัญญาข้อนี้สอนให้เรามีสติที่มั่นคง ไม่วอกแวกต่อสิ่งเร้ารอบข้างโดยง่าย การเดินอย่างสง่าผ่าเผยและมองตรงไปข้างหน้า คือบุคลิกของผู้ที่มีความมั่นใจและมีสติเป็นเครื่องคุ้มครองตนเองอยู่เสมอครับ

ท่านผู้ฟังครับ เมื่อเรามองผ่านเปลือกนอกของความเชื่อ เราจะพบว่าวันสารทจีนคือช่วงเวลาแห่งการ “ทบทวนและเชื่อมโยง”
เป็นการเชื่อมโยงเรากลับไปหา “อดีต” ผ่านการระลึกคุณของบรรพบุรุษ
เป็นการทบทวน “ปัจจุบัน” ผ่านการทำบุพกุศลและดำเนินชีวิตอย่างมีสติ
และเป็นการสร้าง “อนาคต” ที่ดี ผ่านการปลูกฝังคุณธรรมแห่งความกตัญญูและความเมตตาให้แก่ลูกหลาน

นี่คือเทศกาลที่สอนให้เรารู้ว่า เราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่เราเป็นส่วนหนึ่งของสายใยที่เชื่อมโยงกันระหว่างรุ่นสู่รุ่น และเชื่อมโยงกับทุกสรรพชีวิตในทุกภพภูมิ

และนี่คือเรื่องราวและภูมิปัญญาอันลึกซึ้งแห่งวันสารทจีน ที่เป็นมากกว่าความเชื่อ แต่คือเครื่องนำทางชีวิตที่ทรงคุณค่า

สำหรับครอบครัวของท่าน ยังคงรักษาประเพณีอันดีงามนี้ไว้อย่างไร หรือท่านเคยมีประสบการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาพิเศษนี้บ้างหรือไม่ครับ สามารถแบ่งปันเรื่องราวของท่านได้ในช่องแสดงความคิดเห็น

หากท่านได้รับประโยชน์จากเรื่องราวในวันนี้ และต้องการร่วมอนุโมทนาในบุญกุศล ขอจงน้อมจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วพิมพ์คำว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการส่งต่อพลังงานแห่งความดีงามนี้ออกไปให้กว้างไกล

และโปรดอย่าลืม กดไลก์เพื่อเป็นกำลังใจ กดแชร์เพื่อแบ่งปันภูมิปัญญานี้ให้กับคนที่ท่านรัก และกดติดตามช่องของเราไว้ เพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกันอีกในเรื่องราวที่จะช่วยยกระดับจิตใจและนำทางชีวิตของเราต่อไป

ขออานุภาพแห่งความกตัญญูและความเมตตาที่ท่านได้ตั้งใจบำเพ็ญ จงเป็นเกราะคุ้มครองให้ทุกท่านแคล้วคลาดปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

You may also like

ทดสอบ lemon8
เม้ามอยกับมามูมะ

เมื่อลองลงบทความวันพระ กับ บทความเลขเด็ดจากเชงเม้งเดย์

เมื่อมามูมะบุก lemon8 และทดลองลงโพสต์ใกล้ๆกัน โดยบทความแรกจะเกี่ยวกับวันพระ ทำไมต้องมีวันพระ รวมไปถึง การเล่าเรื่องต่างๆ จนมาจบลงที่ คำทำนายในวันนี้ว่า วันพระวันนี้จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้างรวมถึงให้เสี่ยงดวงว่าทำบุญอะไรดีในวันนี้ และ บทความที่สองจะเกี่ยวกับตัวเลขเด็ด เลขจากประทัดที่มามูมะได้เลขมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ในเพจมามูมะครับ และที่แอปบทมือถืออย่าง lemon8 รูปฝั่งซ้ายจะเป็นตัวเลข 2800+ ยอดคนดู สำหรับบทความที่สอง
ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย
เม้ามอยกับมามูมะ

วันดี วันร้าย ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย

การตัดผมถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องตัดอยู่เป็นประจำแต่ในวัฒนธรรมไทยกลับมองว่าเป็นพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่สำคัญ เนื่องมาจากความเชื่อและขนบธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่การเลือกวันและเวลาในการตัดผม การเลือกใช้เครื่องมือตัดผม ตลอดจนวิธีการจัดการกับเส้นผมที่ตัดออกมา ซึ่งล้วนมีจุดประสงค์เพื่อนำโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตนและครอบครัว โดยในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการตัดผมแบบไทยๆ ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต ซึ่งจะทำให้คุณได้ซาบซึ้งถึงรากเหง้าและสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของคนไทย เพื่อให้ไม่เสียเวลาของคนอ่านมากนัก เรามาดูกันว่า จะมีวันดี วันร้าย ตรงตามที่คุณรู้มาบ้างไหม ลองอ่านกันดูครับผม ในสมัยก่อนชาวบ้านจะเชื่อว่า การตัดผมในวันและเวลาหนึ่งๆ