มูให้ดู

10 เคล็ดลับเสริมพลังจิต พิชิตการสอบและการเรียน

10 เคล็ดลับเสริมพลังจิต พิชิตการสอบและการเรียน

วันนี้เราจะมาพูดคุยกันในหัวข้อที่หลายคนรอคอย นั่นคือ “10 เคล็ดลับเสริมพลังจิต พิชิตการสอบและการเรียน” ในมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าแค่การเป็น “สายมู” หลายคนอาจมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงความเชื่อ แต่แท้จริงแล้วทุกเคล็ดลับที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มีหลักการทางจิตวิทยาและพลังงานซ่อนอยู่ เป็นกุศโลบายของคนโบราณที่เข้าใจธรรมชาติของจิตใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

จิตของเรานั้นก็เหมือนน้ำในแก้ว หากถูกเขย่าอยู่ตลอดเวลาด้วยความกังวลและความกลัว ตะกอนความคิดก็จะฟุ้งกระจาย ทำให้มองไม่เห็นความรู้ที่อยู่ก้นแก้วได้อย่างชัดเจน เคล็ดลับเหล่านี้ คือวิธีการทำให้น้ำในแก้วนั้นนิ่งสงบ จนตะกอนตกผลึก และเราจะมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

เอาล่ะครับ มาเริ่มกันที่เคล็ดลับข้อแรกกันเลย

เคล็ดลับที่ 1 : การไหว้พระขอพรเพื่อเสริมปัญญา

การไปไหว้พระตามวัดที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาและปัญญา เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย หรือจะเป็นพระธาตุประจำเมืองเกิดของแต่ละท่าน ทำไมการกระทำเช่นนี้จึงสำคัญ?

ไม่ใช่แค่การไปขอให้ท่านดลบันดาลให้สอบได้ แต่เป็นการ “ตั้งสัจจะวาจา” กับตัวเอง ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพ เมื่อเราพนมมือขึ้น จิตของเราจะรวมเป็นหนึ่ง สมาธิจะเกิดขึ้นในขณะนั้น คำอธิษฐานที่เปล่งออกมา คือการโปรแกรมจิตใต้สำนึกของเราให้มุ่งมั่นไปยังเป้าหมาย ลองนึกภาพตามนะครับ ขณะที่เรากราบลงไป เราได้วางความกังวล ความกลัว และความไม่มั่นใจทั้งหมดลงไว้ที่พื้น และเมื่อเราเงยหน้าขึ้นมา เราได้รับความรู้สึกสงบและความหวังกลับมาแทนที่ นั่นคือการเริ่มต้นใหม่ทางจิตใจที่ดีที่สุดก่อนการสอบ

เคล็ดลับที่ 2 : บูชาองค์พระพิฆเนศ เทพแห่งปัญญาและความสำเร็จ

หลายท่านคงทราบดีว่าพระพิฆเนศคือเทพเจ้าแห่งความสำเร็จและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แต่เคยสังเกตลักษณะของท่านไหมครับ เศียรที่เป็นช้าง หมายถึงสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ หูที่กว้างใหญ่ หมายถึงการรับฟังและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี งาที่หักหนึ่งข้าง คือสัญลักษณ์ของการเสียสละเพื่อใช้จดบันทึกมหาภารตะ แสดงให้เห็นว่าปัญญาที่ยิ่งใหญ่นั้นต้องแลกมาด้วยความเพียรพยายาม

การสวดคาถา “โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา” นั้น ไม่ใช่แค่การท่องบ่น แต่คือการปรับคลื่นพลังงานในตัวเราให้สอดคล้องกับพลังแห่งปัญญา เมื่อเราสวด 108 จบ จิตเราจะนิ่งและเกิดสมาธิลึก เหมือนการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เมื่อจิตมีกำลัง ปัญญาก็ย่อมเกิดตามมา ท่านใดที่กำลังอ่านหนังสือแล้วรู้สึกติดขัด ลองหยุดพักสักครู่ สวดบูชาท่าน แล้วกลับไปอ่านใหม่ จะพบว่ามีมุมมองหรือความเข้าใจใหม่ๆ เกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

เคล็ดลับที่ 3 : พลังแห่งพระคาถา “มหาการุณิโก”

คาถาบทนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทสวดมนต์ที่สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า “มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง…” แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลาย…

หัวใจของคาถานี้คือ “เมตตา” และ “กรุณา” ครับ เมื่อจิตของเราประกอบด้วยเมตตา ความร้อนรนและความเห็นแก่ตัวจะลดลง ความประหม่าในสนามสอบเกิดจากอะไร? เกิดจากความกลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวแพ้ กลัวเสียหน้า ซึ่งเป็นความคิดที่วนเวียนอยู่กับ “ตัวเรา” แต่เมื่อเราสวดคาถามหาการุณิโก จิตเราจะแผ่กว้างออกไป น้อมรำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ ทำให้จิตใจเราสงบเย็นและมีพลัง ความตื่นตระหนกจะหายไป เหลือไว้แต่สติที่ตั้งมั่นพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

เคล็ดลับที่ 4 : พกเครื่องราง และการสร้างนิมิตแห่งความสำเร็จ

การพกดินสอที่ผ่านพิธี หรือเหรียญพระเกจิอาจารย์นั้น ในทางจิตวิทยาเรียกว่า “Anchor” หรือการสร้าง “สมอของจิตใจ” ครับ สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ในตัวเอง แต่เป็นตัวแทนของความเชื่อมั่นและความศรัทธาของเรา เมื่อเราหยิบดินสอแท่งนั้นขึ้นมาในห้องสอบ ความรู้สึกมั่นคงและความสงบที่เราเคยสัมผัสตอนนำไปทำพิธีจะกลับคืนมา เป็นการดึงพลังใจในอดีตกลับมาใช้ในปัจจุบัน

ตัวอย่างเช่น นักกีฬาระดับโลกหลายคนมีของนำโชคติดตัว หรือมีกิจวัตรที่ต้องทำก่อนแข่งเสมอ สิ่งเหล่านี้ช่วยลดความไม่แน่นอนในจิตใจ และสร้างความรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

เคล็ดลับที่ 5 : พลังของสีมงคล

เรื่องของสีนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ครับ สีแต่ละสีมีคลื่นความถี่ที่ส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ได้จริง หรือที่เรียกว่า “Color Psychology” การเลือกใส่เสื้อผ้าสีมงคลในวันสอบ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของดวง แต่เป็นการเลือกใช้พลังของสีเพื่อกระตุ้นสภาวะจิตใจที่เราต้องการ

เช่น สีฟ้าให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น, สีเขียวให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตา, สีเหลืองหรือสีส้มให้ความรู้สึกกระตือรือร้น มีพลังงาน การเลือกสีที่เหมาะสมกับวันนั้นๆ ตามความเชื่อ จึงเป็นการสร้างความมั่นใจจากภายนอกสู่ภายใน ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน และเมื่อเรารู้สึกดี เราก็จะทำทุกอย่างได้ดีขึ้น

เคล็ดลับที่ 6 : การบนบาน สัญญาใจกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ผมอยากให้มองการบนบานในมิติใหม่ ไม่ใช่การติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการ “ตั้งปณิธานและผูกมัดตัวเองกับความดี” เมื่อเรากล่าวบนบานว่า “หากลูกสอบผ่าน ลูกจะไปบริจาคโลหิต หรือจะถือศีล 5 เป็นเวลา 1 เดือน” สิ่งที่เราทำคือการสร้างแรงจูงใจที่ทรงพลังขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

เป้าหมายของเราจะไม่ใช่แค่การสอบผ่านเพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่เพื่อที่จะได้ทำความดีตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ด้วย สิ่งนี้จะเปลี่ยนความกดดันให้กลายเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ ทำให้เรามีความพยายามมากขึ้นเป็นทวีคูณ และเมื่อเราทำสำเร็จ การไปแก้บนก็คือการทำความดี ซึ่งส่งผลให้ชีวิตเราเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก เป็นกุศโลบายที่แยบยลยิ่งนัก

เคล็ดลับที่ 7 : วัตถุมงคลเสริมสมาธิ

พระเครื่องอย่าง “พระนาคปรก” มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ภายใต้การปกป้องของพญานาค สื่อความหมายถึงการมีสติที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคหรือสิ่งรบกวนภายนอก การมีท่านไว้บูชาจึงเป็นเครื่องเตือนสติให้เรามีสมาธิที่แน่วแน่ดุจดั่งพระพุทธองค์

ส่วนหินนำโชคอย่าง “แอมะทิสต์” ในทางพลังงานบำบัดเชื่อกันว่ามีคลื่นความถี่ที่ช่วยปรับสมดุลของสมองและระบบประสาท ทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย การวางหินไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ หรือกำไว้ในมือขณะทำสมาธิ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการปรับสภาวะของร่างกายและจิตใจให้พร้อมต่อการเรียนรู้

เคล็ดลับที่ 8 : คาถาเรียนเก่งของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

“นะโมพุทธายะ มะอะอุ” คาถานี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “หัวใจพระเจ้าห้าพระองค์” แต่ละพยางค์เป็นพระนามย่อของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในภัทรกัปนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์และมีพลังงานสูงมาก

หลวงพ่อจรัญท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ท่านจึงสอนให้ใช้การภาวนาคาถาเป็นเครื่องมือในการฝึกสมาธิ การท่องซ้ำๆ ไม่ว่าจะ 3 จบ 9 จบ หรือ 108 จบ คือการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น พลังของจิตจะมารวมอยู่ที่จุดเดียว ทำให้เกิดกำลังสติและปัญญา เมื่อเราไปอ่านหนังสือ สมองที่ปลอดโปร่งและมีสมาธิ ก็จะสามารถรับข้อมูลและจดจำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เคล็ดลับที่ 9 : การทำบุญเสริมปัญญา

นี่คือหัวใจสำคัญของกฎแห่งกรรมครับ “ผู้ให้สิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น” เมื่อเราต้องการปัญญา เราก็ต้องให้ปัญญาแก่ผู้อื่น การบริจาคหนังสือ อุปกรณ์การเรียน หรือมอบทุนการศึกษาให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน คือการสร้างเหตุปัจจัยแห่งปัญญาโดยตรง

การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลบุญกลับมาหาเราเท่านั้น แต่ยังสร้างความรู้สึกปิติและอิ่มเอมใจ ความรู้สึกนี้เป็นพลังงานบวกที่ช่วยยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น ทำให้เราปราศจากความกังวล และเมื่อเราเข้าห้องสอบ เราจะไปด้วยใจที่เปี่ยมสุข ซึ่งเป็นสภาวะที่ดีที่สุดในการดึงความรู้ความสามารถออกมาใช้

เคล็ดลับที่ 10 : สร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการเรียนรู้

เคล็ดลับข้อสุดท้ายนี้ คือการเปลี่ยนกิจกรรมการอ่านหนังสือธรรมดาๆ ให้กลายเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ การจัดโต๊ะหนังสือให้สะอาด มีแสงสว่างเพียงพอ การนำหนังสือไปวางบนหิ้งพระ หรือจุดธูปเทียนเพื่อบอกกล่าวครูบาอาจารย์ เป็นการแสดงความเคารพต่อวิชาความรู้

การกระทำเหล่านี้ช่วยปรับทัศนคติของเราจากการ “ต้องอ่านหนังสือ” ไปสู่การ “ได้รับโอกาสในการศึกษาเรียนรู้” จิตใจของเราจะเปิดรับและซึมซับความรู้ได้ดีขึ้น การสวด “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ” ก่อนอ่าน ก็คือการน้อมนำพระพุทธคุณมาเป็นที่พึ่ง เพื่อให้จิตใจเรามั่นคงและมีกำลังใจในการอ่านต่อไป

ท่านผู้ฟังที่เคารพรักทุกท่านครับ ทั้ง 10 เคล็ดลับที่ผมได้ขยายความมาทั้งหมดนี้ เปรียบเสมือนการเตรียม “ดิน” ให้ดี ดินที่ร่วนซุย อุดมสมบูรณ์และพร้อมรับการหว่านเมล็ดพันธุ์

แต่เมล็ดพันธุ์ที่สำคัญที่สุดก็คือ “ความเพียรพยายาม” ของตัวเราเอง การอ่านหนังสือ การทบทวน และการทำความเข้าใจในเนื้อหา คือสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด ความศรัทธาและความเชื่อเหล่านี้คือ “ปุ๋ย” และ “น้ำ” ที่ช่วยบำรุงให้เมล็ดพันธุ์แห่งความพยายามของเรางอกงามและผลิดอกออกผลได้อย่างสมบูรณ์

จงอย่าลืมหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เคล็ดลับสายมูคือเครื่องหนุนนำและเสริมพลังใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ต้องลงมือทำและก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จก็คือตัวของเราเอง

ขอให้ทุกท่านที่กำลังเตรียมตัวสอบ จงใช้ทั้งสองสิ่งนี้ควบคู่กันไป นั่นคือ “ความขยันหมั่นเพียร” และ “พลังแห่งศรัทธา” แล้วผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจะปรากฏแก่ท่านอย่างแน่นอน

หากท่านผู้ฟังได้รับประโยชน์และข้อคิดดีๆ จากเรื่องราวในวันนี้ เพื่อเป็นการส่งต่อพลังงานบวกนี้ไปด้วยกัน พิมพ์คำว่า “สาธุ” ในช่องคอมเมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านและเพื่อนผู้ฟังท่านอื่นๆ นะครับ

และสำหรับท่านใดที่มีเคล็ดลับส่วนตัวที่ใช้แล้วได้ผลดี อยากจะแบ่งปันเป็นวิทยาทาน ก็สามารถเล่าสู่กันฟังในคอมเมนต์ได้เลยนะครับ ถือเป็นการสร้างบุญบารมีทางปัญญาไปพร้อมๆ กัน

สุดท้ายนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์เพื่อส่งต่อเรื่องราวดีๆ และกดติดตามช่องของเราไว้ พร้อมทั้งกดกระดิ่งแจ้งเตือน เพื่อที่ท่านจะได้ไม่พลาดเนื้อหาสาระที่จะช่วยยกระดับจิตใจและนำทางชีวิตของท่านในครั้งต่อไป สำหรับวันนี้ ขออำนวยอวยพรให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวังทุกประการ สวัสดีครับ

You may also like

พระแม่ลักษมี ตึกเกษรวิลเลจ กรุงเทพ
ท่องเที่ยวไทย มูให้ดู

รีวิวพามาไหว้ “พระแม่ลักษมี ” ตึกเกษร

วันนี้ ออกมาเดินเล่นแถวสยาม มาบุญครอง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง เออร้านเดิมๆ ที่เคยเดิน เคยกินก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทำอะไรเสร็จแล้ว ได้ยินมาว่า “พระแม่ลักษมี” สามารถเข้ามาสักการะพระแม่ท่านได้แล้ว ที่ชั้น 4 ตึกเกษรวิลเลจ (หัวมุมดาดฟ้า) เพื่อไม่ให้เสียเวลาจะรอช้าอยู่ไย ผมได้ทำการเขียนวิธีการเดินทาง ประวัติความเป็นมาของพระแม่ลักษมี เวลาเปิดปิด คาถาบูชาท่าน
อานิสงส์ ของการ ปิดทองพระ ได้รับด้านใดบ้าง พร้อมความหมาย
มูให้ดู

การ “ปิดทองพระ” ได้รับอานิสงส์ด้านใด? เด่นด้านใดบ้าง?

สมัยก่อนตอนที่ยังเด็กๆ คุณพ่อและคุณแม่มักจะชอบพาผมไปวัดกับน้องอยู่บ่อยๆ ตอนมาถึงที่วัดก่อนจะเข้าไปไหว้รึทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็จะมีโต๊ะสำหรับชุดกราบไหว้ ไม่ว่าจะเป็น ธูปเอย เทียนเอย ดอกไม้ เช่น ดอกบัวอะเนอะ น้ำมันเติมตะเกียง และสุดท้าย แผ่นทองคำ ตอนเด็กๆ แม่ก็จะบอกว่าให้เอาแผ่นทองไปปิดทองตรงองค์พระท่าน ด้วยความเป็นเด็กก็สงสัย แล้วจะให้ปิดตรงไหน รึตรงไหนก็ได้ แม่บอกว่าแปะแผ่นทองที่หน้า ไม่ก็ที่ท้อง