สวัสดีครับท่านผู้ฟังที่เคารพรักทุกท่าน ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักในวันนี้ ผมขอเวลาสั้นๆ เพื่อบอกว่าท่านจะได้รับอะไรจากการฟังคลิปนี้จนจบ ท่านจะได้เรียนรู้ถึง 9 กฎเงินอมตะจาก “คิดแล้วรวย” ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเปลี่ยนความคิดจากภายในเพื่อดึงดูดความสำเร็จจากภายนอก และที่สำคัญ ท่านจะเข้าใจว่าหลักการสร้างตัวของมหาเศรษฐีระดับโลกนั้น สอดคล้องกับกฎแห่งกรรมและหลักธรรมะได้อย่างไร
หากท่านพร้อมที่จะยกระดับความคิดภายในจิตใจของท่านแล้ว เรามาเริ่มต้นการเดินทางนี้ไปพร้อมกันครับ
ท่านผู้ฟังเคยสงสัยเหมือนผมไหมครับว่า ทำไมคนบางคนถึงดูเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดเงินทอง โอกาส และความสำเร็จเข้ามาในชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ แม้จะขยันขันแข็ง ทำงานหนักแทบทั้งชีวิต กลับยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม มันไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต หรือพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่มันคือเรื่องของ “ระบบความคิด” หรือที่ผมเรียกว่า “ซอฟต์แวร์ภายใน” ที่คนเหล่านั้นได้ตั้งค่าและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
วันนี้เราจะมาถอดรหัสระบบความคิดนั้นผ่าน 9 กฎอมตะ จากหนังสือระดับตำนาน “Think and Grow Rich” หรือ “คิดแล้วรวย” ของนโปเลียน ฮิลล์ ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นมหาเศรษฐีมาแล้วนับไม่ถ้วน และผมจะเชื่อมโยงให้เห็นว่าแก่นแท้ของมัน คือสิ่งเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนเรามาตลอดสองพันกว่าปี
กฎข้อที่หนึ่ง: ความปรารถนาอันแรงกล้า
ทุกความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะการสร้างธุรกิจพันล้าน การคิดค้นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก หรือแม้แต่การบรรลุธรรม ล้วนเริ่มต้นจากสิ่งเดียวกัน นั่นคือ “ความปรารถนา”
แต่ไม่ใช่ความปรารถนาแบบลมๆ แล้งๆ ว่า “อยากรวย” “อยากสำเร็จ” แล้วก็นอนฝันไปวันๆ ฮิลล์เรียกสิ่งนี้ว่า “Burning Desire” หรือความปรารถนาที่ลุกไหม้ มันคือความอยากที่จริงจัง เข้มข้น จนไม่เหลือทางเลือกอื่นใดอีกต่อไปในชีวิต
ตัวอย่าง: ลองนึกถึงคนที่อยากเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครับ เขาไม่ได้แค่ “อยาก” แต่ความปรารถนานั้นผลักดันให้เขาสละเวลาเที่ยวเล่นมาอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างหนัก อดทนเรียน 6 ปี ต่อด้วยการเป็นแพทย์ใช้ทุนในพื้นที่ห่างไกล แล้วยังต้องเรียนต่อเฉพาะทางอีกหลายปี ทุกการกระทำถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายเดียวที่ชัดเจน นั่นแหละครับคือ Burning Desire
ในทางธรรมะ: สิ่งนี้เทียบได้กับ “ฉันทะ” ซึ่งเป็นหนึ่งในอิทธิบาท 4 แปลว่า ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้นอย่างยิ่งยวด แต่ต้องแยกให้ออกจาก “ตัณหา” นะครับ ตัณหาคือความอยากที่เจือด้วยความยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ได้มาก็เป็นทุกข์ แต่ “ฉันทะ” คือความปรารถนาดีที่เปี่ยมด้วยปัญญา เป็นพลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้น เช่น ความปรารถนาที่จะพ้นทุกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นฉันทะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นเอง
กฎข้อที่สอง: ความเชื่อมั่นแบบไม่มีข้อแม้
หลังจากมีความปรารถนาที่แรงกล้าแล้ว สิ่งที่ต้องตามมาคือ “ความเชื่อ” เชื่อว่าสิ่งที่เราปรารถนานั้น “เป็นไปได้” และ “เราทำได้” ฮิลล์บอกว่าความเชื่อที่แน่วแน่จะกลายเป็นเหมือนแม่เหล็กทรงพลังที่คอยดึงดูดผู้คน เหตุการณ์ และทรัพยากรที่จำเป็น ให้เข้ามาหาเราเอง
มันคือหลักการ “เชื่อก่อนเห็น” คนส่วนใหญ่รอให้เห็นหลักฐานก่อนถึงจะเชื่อ แต่คนสำเร็จเชื่อทั้งๆ ที่ยังไม่มีอะไรเลย แล้วลงมือทำจนกระทั่งสิ่งที่เชื่อปรากฏเป็นความจริงขึ้นมา
ในทางธรรมะ: นี่คือหลักการของ “ศรัทธา” ครับ ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และที่สำคัญคือ “ศรัทธาในกฎแห่งกรรม” เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อในศักยภาพของมนุษย์ที่จะสามารถพัฒนาตนเองได้ เมื่อเรามีศรัทธาที่ถูกต้อง เราจะกล้าทำในสิ่งที่ดีงาม กล้าลงทุนลงแรง เพราะเราเชื่อมั่นในผลลัพธ์ปลายทาง แม้วันนี้จะยังมองไม่เห็นก็ตาม
กฎข้อที่สาม: การสั่งจิตใต้สำนึกซ้ำๆ
จิตของเรามีสองส่วน คือ จิตสำนึก และ จิตใต้สำนึก จิตสำนึกคือสิ่งที่เราคิดและรับรู้ในแต่ละวัน แต่พลังที่แท้จริงที่ขับเคลื่อนชีวิตเราคือจิตใต้สำนึกครับ การสั่งจิตใต้สำนึกซ้ำๆ คือการป้อนข้อมูลที่เราต้องการเข้าไปในระบบปฏิบัติการของชีวิต
การพูดเป้าหมายกับตัวเองทุกวัน การเขียนมันลงไป การจินตนาการว่าเราไปถึงจุดนั้นแล้ว ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นกระบวนการ “โปรแกรมจิต” ให้เชื่อว่ามันเป็นจริง เมื่อจิตใต้สำนึกเชื่อแล้ว มันจะเริ่มมองหาหนทางและสั่งการให้ร่างกายเราลงมือทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้นโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่าง: นักกีฬาระดับโลกทุกคนใช้วิธีนี้ พวกเขาจินตนาการภาพตัวเองชู้ตลูกบาสลงห่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ตีลูกกอล์ฟลงหลุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยในระดับจิตใต้สำนึก เมื่อถึงเวลาแข่งขันจริง ร่างกายมันก็แค่ทำซ้ำในสิ่งที่จิตได้ฝึกฝนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ในทางธรรมะ: กระบวนการนี้ไม่ต่างอะไรจากการ “ภาวนา” หรือ “การเจริญสมาธิ” เลยครับ การสวดมนต์ การบริกรรมพุทโธ หรือการระลึกถึงคุณความดีบ่อยๆ คือการป้อนข้อมูลที่เป็นกุศลเข้าไปในจิตใจซ้ำๆ เพื่อให้จิตของเราคุ้นชินกับความดีงาม ความสงบ จนกลายเป็นพื้นฐานของใจเราในที่สุด
กฎข้อที่สี่: ความรู้เฉพาะทาง
โลกยุคนี้ไม่ได้ให้รางวัลกับคนที่ “รู้ทุกเรื่อง” แต่ให้รางวัลกับคนที่ “รู้ลึกรู้จริงในเรื่องที่สำคัญ” คนที่ประสบความสำเร็จระดับสูงไม่จำเป็นต้องฉลาดที่สุดในทุกด้าน แต่พวกเขารู้ว่าความรู้ใดที่จำเป็นต่อเป้าหมาย และที่สำคัญกว่านั้นคือ “รู้จักว่าจะหาคนที่เก่งในด้านอื่นๆ มาร่วมมือได้อย่างไร”
อย่าเสียเวลาไปกับความรู้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเป้าหมายหลักของคุณ จงเลือกศึกษาให้ลึกซึ้งในสายงานของคุณ หรือในศาสตร์ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้ และจงเปิดใจเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์เสมอ
ในทางธรรมะ: สิ่งนี้คือ “สัมมาอาชีวะ” ในมรรคมีองค์ ๘ การมีความรู้ความเชี่ยวชาญในอาชีพที่สุจริต และยังสอดคล้องกับหลักการเป็น “บัณฑิต” คือผู้ที่รู้ว่าอะไรคือสาระ อะไรไม่ใช่สาระ และรู้จักคบหา “กัลยาณมิตร” ผู้มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ มาเกื้อหนุนกัน
กฎข้อที่ห้า: แผนที่ลงมือทำได้จริง
ความฝันที่ไม่มีแผนการก็เป็นได้แค่จินตนาการลมๆ แล้งๆ ครับ ความปรารถนาที่แรงกล้าต้องถูกเปลี่ยนให้เป็น “แผนการที่จับต้องได้” และ “ลงมือทำได้จริง” แผนของคุณต้องชัดเจน มีขั้นตอน และยืดหยุ่นพอที่จะปรับเปลี่ยนได้เมื่อเจออุปสรรคหรือข้อมูลใหม่ๆ คนที่ล้มเหลวไม่ใช่ไม่มีฝัน แต่เพราะพวกเขาไม่มีแผน หรือมีแผนแต่ไม่เคยลงมือทำ
ในทางธรรมะ: หลักการนี้ตรงกับ “โยนิโสมนสิการ” คือการคิดอย่างแยบคาย คิดอย่างเป็นระบบ คิดจากเหตุไปหาผล เมื่อมีเป้าหมาย (ฉันทะ) แล้ว ก็ต้องใช้ปัญญาในการวางแผนพิจารณาหาหนทางที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ทำไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
กฎข้อที่หก: ความกล้าตัดสินใจ
จากการศึกษาของฮิลล์ เขาพบว่าคุณสมบัติร่วมของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จคือ “ความลังเล” พวกเขากลัวการตัดสินใจผิดพลาด จึงไม่ตัดสินใจอะไรเลย ปล่อยให้โอกาสผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า ในทางกลับกัน คนที่สำเร็จอย่างสูงนั้น “ตัดสินใจเร็วและเปลี่ยนใจช้า” เมื่อพวกเขาศึกษาข้อมูลมาดีพอแล้ว พวกเขาจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและมุ่งมั่นกับมัน
ฝึกตัดสินใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันให้เร็วขึ้นครับ แล้วคุณจะสร้างกล้ามเนื้อแห่งการตัดสินใจให้แข็งแกร่ง และไม่หวาดกลัวการตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตอีกต่อไป
ในทางธรรมะ: ความลังเลสงสัย หรือ “วิจิกิจฉา” เป็นหนึ่งในนิวรณ์ 5 เครื่องกั้นความดีงามของจิตใจ การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวเปรียบเสมือนการใช้ “วิริยะ” หรือความเพียร ตัดความลังเลนั้นออกไป แล้วมุ่งหน้าทำตามสิ่งที่ได้ไตร่ตรองไว้ดีแล้ว
กฎข้อที่เจ็ด: ความพยายามแบบไม่ยอมแพ้
นี่อาจจะเป็นกฎที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งเลยก็ว่าได้ “ความพยายาม” ฮิลล์บอกว่า “ไม่มีอะไรในโลกนี้สามารถแทนที่ความพยายามได้” พรสวรรค์ก็สู้ไม่ได้ เพราะคนเก่งที่ล้มเหลวมีอยู่ถมไป การศึกษาก็สู้ไม่ได้ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยผู้มีการศึกษาสูงที่ถูกลืม โชคก็ช่วยไม่ได้ เพราะโชคมักจะเข้าข้างคนที่มีความพยายามเท่านั้น
ความล้มเหลวส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการพ่ายแพ้ แต่เกิดจากการ “ยอมแพ้” ตั้งแต่ยังไม่ทันได้สู้จนถึงที่สุด เมื่อคุณล้ม จงมองว่ามันเป็นเพียงบทเรียนเพื่อปรับปรุงแผน แล้วลุกขึ้นสู้ต่อด้วยความพยายามที่มากกว่าเดิม
ในทางธรรมะ: นี่คือ “ขันติ” และ “วิริยะ” บารมีอันยิ่งใหญ่ ขันติคือความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก ส่วนวิริยะคือความเพียรพยายามที่ไม่ย่อท้อ เหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวัน หินที่แข็งแกร่งยังต้องกร่อน การทำความดี การสร้างความสำเร็จก็เช่นกัน ต้องอาศัยความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล
กฎข้อที่แปด: กลุ่มพันธมิตรทางปัญญา
ไม่มีมหาเศรษฐีคนไหนที่สร้างตัวขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาไม่เคยเดินลำพัง ทุกคนล้วนมี “Master Mind” หรือกลุ่มพันธมิตรทางปัญญา คือการรวมตัวของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ที่มีความคิดเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน มาประชุม ระดมสมอง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสม่ำเสมอ พลังสมองที่มารวมกันนี้จะเกิดการทวีคูณ ทำให้เกิดปัญญาและไอเดียใหม่ๆ ที่คนคนเดียวไม่มีทางคิดได้
ในทางธรรมะ: นี่คือคอนเซ็ปต์ของ “กัลยาณมิตร” อย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าตรัสว่า การมีกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ เพราะมิตรที่ดีจะคอยชี้แนะ ชักนำไปในทางที่ถูกที่ควร ให้กำลังใจในยามท้อแท้ และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ การสร้างกลุ่ม Master Mind ก็คือการสร้างหมู่คณะแห่งกัลยาณมิตรในทางโลกนั่นเอง
กฎข้อที่เก้า: ญาณสังหรณ์พิเศษ
เมื่อคุณฝึกฝนปฏิบัติทั้ง 8 ข้อที่ผ่านมาอย่างสม่ำเสมอจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จิตใจของคุณจะเริ่มละเอียดอ่อน เฉียบคม และสามารถ “รับรู้” บางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ฮิลล์เรียกสิ่งนี้ว่า “สัมผัสที่หก” หรือ “ญาณทิพย์ทางความคิด”
มันไม่ใช่เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่มันคือ “ปัญญา” ที่เกิดจากจิตที่ถูกฝึกมาอย่างดี ทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ มองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม และหลบเลี่ยงความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
ในทางธรรมะ: สิ่งนี้คือผลลัพธ์สูงสุดของการปฏิบัติ คือ “ปัญญาญาณ” การหยั่งรู้ตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดจากจิตที่มี “สมาธิ” ตั้งมั่น และมี “สติ” กำกับอยู่ตลอดเวลา เมื่อจิตสงบจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ปัญญาก็จะฉายแสงออกมาเอง ทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้อง
บทสรุป และการปิดทองหลังพระ
ท่านผู้ฟังที่เคารพครับ ทั้ง 9 ข้อนี้คือระบบความคิดที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว ความร่ำรวยและความสำเร็จที่แท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่มันคือ “ผล” ที่เกิดจาก “เหตุ” คือการสร้างระบบความคิดและการลงมือทำที่ถูกต้อง
แต่ผมอยากจะเสริมในมุมมองของผมอีกสักนิดครับว่า ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนนั้น ไม่ได้มีแค่ตัวเงินหรือทรัพย์สินภายนอก มันคือการ “ปิดทอง” ในชีวิตของเรา การทำตามกฎ 9 ข้อนี้เปรียบเหมือนการปิดทองที่ด้านหน้าขององค์พระ ทำให้ชีวิตเราสวยงาม ประสบความสำเร็จ แต่การจะให้องค์พระนั้นศักดิ์สิทธิ์และงดงามอย่างแท้จริง เราต้องไม่ลืมที่จะ “ปิดทองหลังพระ” ด้วย
การปิดทองหลังพระในที่นี้คือการสร้าง “คุณค่า” ที่มองไม่เห็น คือการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การแบ่งปันช่วยเหลือสังคมเมื่อมีโอกาส การมีความกตัญญูรู้คุณ การรักษาศีล 5 ให้เป็นปกติ สิ่งเหล่านี้คือรากฐานทางจิตวิญญาณที่จะทำให้ความมั่งคั่งของคุณนั้นมั่นคง เป็นความสุขที่แท้จริง และเป็นมรดกแห่งคุณงามความดีที่ส่งต่อไปได้
หนังสือ Think and Grow Rich ไม่ได้สอนให้คุณ “ทำตาม” เพื่อให้รวย แต่กำลังเชื้อเชิญให้คุณ “เปลี่ยนแปลง” ตัวตนจากภายใน จนกระทั่งคุณกลายเป็นบุคคลที่คู่ควรและสามารถดึงดูดความสำเร็จเข้ามาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
หากท่านผู้ฟัง ฟังมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวท่านที่พร้อมแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการส่งพลังงานบวกและยืนยันความตั้งใจร่วมกัน ผมขอเชิญชวนทุกท่าน พิมพ์คำว่า “สาธุ” หรือ “ฉันพร้อมรับความมั่งคั่งอย่างมีคุณธรรม” ลงในช่องคอมเมนต์ด้านล่างนี้ครับ
ขออนุโมทนาในความตั้งใจของทุกท่านครับ แบ่งปันเรื่องราวดีๆ นี้ให้กับเพื่อนหรือคนที่คุณรัก เพื่อให้เขาได้สำเร็จและเติบโตไปพร้อมกับคุณ และอย่าลืมกดติดตามช่องของเราไว้ เพื่อที่เราจะได้มาพบกันในเรื่องราวที่จะยกระดับชีวิตและจิตใจของเราในครั้งต่อไป
สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

