โดยก่อนที่จะเริ่มเรื่องเล่าจากทางบ้านตอนนี้ เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นเรื่องราวต่างๆที่ได้เล่าไว้เกี่ยวกับประสบการณ์ หรือ
เรื่องที่ได้พบ หลังจากที่คุณทีได้มายังสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง โดยทางคุณที ได้เล่าเสริมมาเพิ่มเติมให้ไว้กับทางผมนะครับ
สำหรับคนที่ผ่านมาอ่านในตอน “แสงนั้นคือแสงอะไร…?” จะเป็นช่วงเวลาหลังจากเรื่อง
“วันนี้ที่รอคอย… เราได้เจอกันสักที” ซึ่งจะเป็นตอนที่ผมได้เดินทางมายังสำนักสงฆ์แห่งนี้
และได้พบเจอผู้คนมากมาย ที่เคยรู้จักก็ดี ที่เคยห่างหายกันไปและหวนกลับมาเจอกัน ดังที่ผมเคยเขียนบอกไว้ว่า
ชีวิตเหมือนจุดต่อจุด เส้นต่อเส้น ทางต่อทาง เชื่อมโยงกันไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมนั่นเอง
และเหมือนเช่นเคยนะครับเรื่องราวเหล่านี้ ผมได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณทีอีกต่อนึงนะครับ โดยผมจะขออนุญาต เล่าเรื่องนี้เป็นตัวผมแทนครับ
จะได้ไม่สะดุดในการอ่านของทุกๆท่านครับ เพื่อให้ไม่ให้เสียเวลาของทุกๆท่านงั้นเรามาเริ่มกันเลยครับ
เรื่องนี้หากว่าผมจำไม่ผิดช่วงเวลาน่าจะย้อนกลับไปช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ของเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังจากผมได้พบกับหลวงปู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้
มันน่าจะเหมือนที่หลายๆคนเรียกว่า แรงดึงดูดมั้งครับ หลังจากไปแล้ว มันเหมือนมีแรงดึงดูดเรียกให้เรากลับไปอีกครั้ง
ทำให้ผม โอ เราสองคนมักจะชวนน้องๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านัต เจ้าเอฟ
รวมถึงเจ้าแซม ( หลายๆคนอาจจะเพิ่งเคยได้ยินชื่อ แซม แล้วแซมมาได้ยังไง มีเรื่องราวไหม ไว้คราวหน้าผมจะกลับมาเล่าเรื่องให้นะครับ)
ให้กลับมายังสำนักสงฆ์แห่งนี้ อยู่บ่อยครั้ง รวมถึงวันนี้อีกเช่นเคยครับ หลังจากเราได้รวมตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การเดินทางมายังสำนักสงฆ์แห่งนี้นั้น เราใช้เวลาราวๆ 4-5 ชม. จากกรุงเทพฯ ครับ หลังจากเราเดินทางมาไม่นาน
เราก็มาถึงสักทีน่าจะเที่ยงคืนได้ โดยปกติแล้วหลังจากที่เราแยกย้ายกันเก็บของตามกุฎิที่พักแล้วก็จะแยกไปนั่งสมาธิกัน
โดยที่ประจำที่ผมชอบไปนั่งก็คือ หน้าผาที่อยู่ในบริเวณของสำนักสงฆ์แห่งนี้ ผม โอ และ น้องๆต่างแยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ
โดยวันนี้เป็นคืนที่พระจันทร์สวยงามมาก ตกดึก ก็เริ่มเย็นๆ มีลมพัดมาเรื่อยๆ เหมาะแก่การที่จะขึ้นไป นั่งทำสมาธิเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ผมได้นั่งทำสมาธิอยู่สักพักเป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจจะเป็นอาการของคนที่นั่งอยู่คนเดียวก็เป็นไปได้มั้งครับ
ผมได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่รอบๆ เป็นจำนวนมาก บางครั้งก็ เหมือนคนเดินผ่านหญ้า ไปมา พอรู้สึกอย่างนั้น ก็จึงหันกลับไป
นึกว่าจะมีน้องคนไหนสักคน เดินผ่านชายป่า อ้อลืมบอกไป หลังหน้าผา จะเป็นป่านะครับ ต้นไม้เยอะมากๆ ปกคลุม อยู่โดยรอบ
แต่พอหันกลับไปก็ไม่เจอใคร พลันคิดว่า สงสัยลมช่วงนี้มันพัดมาเรื่อยๆ อาจทำให้หูแว่ว ขึ้นมาก็คงจะเป็นได้
จึงกลับเข้ามาทำสมาธิอีกครั้งหนึ่ง ในห่วงเวลานั้น พลันคิดเรื่องต่างๆ มากมาย ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของชีวิตนั้น
เคยได้รับฟังนั้น ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้เต็มไปหมด ผมได้แต่คิดว่า ทำไมน๊า เราถึงไม่ก้าวหน้าขึ้นมาสักที
จนมีเสียงหนึ่งปรากฎขึ้นมาให้ได้ยินว่า “เป็นตายเท่ากัน” พอได้ยินคำๆนี้ที่ผุดขึ้นมาในใจ ณ ช่วงเวลานั้น
ผมจึงกล่าวคำนี้ออกไปว่า หากวันนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถรับรู้และเข้าใจหลักธรรม ที่ ปรากฎอยู่รอบๆตัวของข้าพเจ้าได้นั้น
ก็ขอให้ผมนั้น ได้ตายอยู่ ณ ที่ตรงนี้ ที่แห่งนี้ ก็เหมือนเฉกเช่นเดียวกับลมหายใจของผมก็ให้มันดับลง
แต่หากผมสามารถสัมผัสและรับรู้หลักธรรมนี้ได้ ก็ขอให้มีลมหายใจอยู่ต่อไป ด้วยเทิด
หลังจากกล่าวคำปฎิญาณนี้จบลง ก็ได้เจริญสติ เข้าสมาธิอีกครั้งหนึ่ง พอเวลาผ่านไปได้ไม่นานนัก ทำให้หวนคิดกลับไปยัง
คำสอนต่างๆที่หลวงปู่ได้บอกไว้ ก่อนหน้านี้ว่า ธรรมนั้นคือธรรมชาติ รอบๆ ตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแหละ คือ คำสอนที่วางไว้
เรามองเห็นคำสอนหรือสิ่งที่แท้จริงนั้นไหม หลังจากคำเหล่านี้ผุดขึ้นมา ทำให้ผมลืมตาขึ้น แล้วมองไปรอบๆ
เออจริงๆด้วย ชีวิตมันคือต้นไม้ มีวันเติบโต และ สุดท้าย ใบไม้นั้นก็ล่วงหล่นลงมา ฉันใดฉันนั้น…
ผมยังจำความรู้สึกที่ได้สัมผัสได้นั้น มันตื้นตันใจเป็นอย่างมาก เหมือนใจมันพองโตออกมา ความอิ่มเอมใจก็เข้ามาอย่างมากมาย
ทำให้ตัวของผมสั่นขึ้นมาอย่างหาที่สุดไม่ได้ (พอหวนกลับมา หรือว่า ลมบนหน้าผามันหนาวนะ ทำให้ตัวสั่นได้ขนาดนั้น)
หลังจากนั้นไม่นาน เออ ขาเริ่มเป็นเหน็บละ ผ่อนคลายหน่อยแล้วกัน โดยส่วนมาก ผมก็มักจะเก็บภาพบรรยากาศ
โดยรอบๆของสถานที่ที่ไปอะเนอะ วันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ยกมือถือ ถ่ายรูปนั่นนี่ แต่ หลังจากลองดูภาพถ่ายที่ถ่ายนั้น
มันมีเหมือนควันที่ลอยอยู่รอบๆ เอ๊ะหรือว่า กล้องจะมีปัญหา ผมจึงลองถ่ายรูปที่ขาดู เผื่อกล้องจะเสียแต่ ภาพที่ได้มานั้น
ก็ไม่พบกลุ่มควันที่เห็น แสดงว่า กล้องไม่น่าจะเสียแล้วมั้ง ผมจึงลองถ่ายใหม่ โดยเอามือมาบังไว้ ปรากฎว่า
ที่ฝ่ามือผมก็ปรากฎกลุ่มควันนี้อยู่บริเวณมือ ผมจึงคิดในใจว่าแปลกดีแหะ แต่ไม่รู้จะยังไงดี เอาไว้ถามหลวงปู่ดีกว่าที่เจอ
กลุ่มควันเหล่านี้ มันคืออะไรในวันพรุ่งนี้ละกัน ตอนนี้มันดึกแล้วรวมถึงเสียงร้องเบาๆที่ท้องก็เริ่มดังขึ้นมา
ผมจึงค่อยๆเดินลงจากหน้าผา เพื่อกลับไปหา เจ้าโอ รวมถึงน้องๆ ทั้งหลาย เพื่อชวนกันทำ สุกี้น้ำกินกัน แม้ว่าเวลานี้จะดึกมากแล้วก็ตาม ก็มันหิวนินา ทำไงได้อะเนอะ…. เดี๋ยวนอนไม่หลับเอาได้
จบแล้วครับกับเรื่องเล่าจากทางบ้านในตอนที่ชื่อว่า แสงนั้นคือแสงอะไร…? ซึ่งหลังจากที่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆในคืนนั้น
มันทำให้ผมได้พบเจอเรื่องราวต่างๆมากยิ่งขึ้นไป…
สำหรับตอนนี้อาจจะเป็นตอนที่สั้นหน่อย เรียกว่า ส่วนเสริมเพิ่มเติมเข้ามาครับ
หลังจากที่ทุกๆคนได้เห็นรูปต่างๆที่ผมได้นำมาให้ดูแล้ว ทุกคนคิดเห็นยังไงครับ แสงที่คุณทีเห็น คือแสงอะไร?
หรือเป็นเพียงภาพจากกล้องที่ถ่ายออกมาแล้ว ผิดเพี้ยนไปก็เท่านั้นเองก็เป็นได้ครับ
คิดเห็นอย่างไร แสดงความคิดเห็นกันด้วยนะครับ จักขอบพระคุณทุกๆท่านมากเลย
ปล. ขอขอบคุณ เจ้าของเรื่องนี้คุณที ที่ได้เล่าเรื่องและแชร์ประสบการณ์ให้นะครับ
รวมถึงเหล่าดวงวิญญาณ ทุกๆดวงจิตที่ได้กล่าวถึงเพื่อนำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ นั้นมาถ่ายทอด เป็นวิทยาทาน ต่อเพื่อนๆ ที่ได้อ่าน หรือ รับฟัง มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
รูปแรก จะเห็นเป็นแสงสีนวลๆ ลอยรอบๆตัว

รูปที่ 2 ลองเอามามาสัมผัสดู

รูปที่ 3 หลังจากถ่ายดูแล้วเห็นแสงแปลกๆ คิดว่ามือถือมีปัญหา จึงลองถ่ายเข้าหาตัวเอง

อ้าวไม่เสียนี่ และในช่วงเวลานั้น ยังคงถ่ายรูปเป็นปกติ ยกเว้นในคืนนั้น..