คุณเคยรู้สึกไหมครับ ว่าทำไมเราถึงเหนื่อยใจกับการทำงานหรือการใช้ชีวิต ทั้งๆ ที่เราก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว? หลายครั้งที่เรามองหาปัจจัยภายนอก แต่กลับลืมมองดูตัวการสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือ ‘คำบ่น’ ที่ออกจากปากของเราเอง วันนี้ผมจะนำ 15 ข้อคิดที่ทรงพลัง จากหนังสือ “แค่บ่นน้อยลง ชีวิตเปลี่ยนมหาศาล” มาขยายความให้ทุกท่านฟัง เพื่อที่เราจะได้เปลี่ยนพลังลบให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์เกมชีวิตของเราได้อย่างแท้จริงครับ
ข้อที่ 1: การบ่นไม่ช่วยให้ทีมชนะ แต่การลงมือทำกับพลังบวกต่างหากที่เปลี่ยนเกมได้
ลองจินตนาการถึงทีมกีฬาที่กำลังจะลงแข่งในสนามนะครับ ระหว่างทีมที่สมาชิกเอาแต่พูดว่า “สนามก็ห่วย กรรมการก็ไม่ดี คู่แข่งก็โกง” กับอีกทีมที่พูดว่า “แม้สถานการณ์จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราจะเล่นให้เต็มที่ที่สุดในแบบของเรา” คุณคิดว่าทีมไหนมีโอกาสชนะมากกว่ากันครับ? คำตอบนั้นชัดเจน การบ่นคือการสิ้นเปลืองพลังงานไปกับการตอกย้ำปัญหา ในขณะที่พลังบวกและการลงมือทำคือการนำพลังงานนั้นไปสร้างสรรค์วิธีแก้ปัญหาครับ
ข้อที่ 2: ถ้าไม่ชอบอะไร แก้ด้วยฟอร์มการเล่น ไม่ใช่เสียงบ่น
ในทางจิตวิทยา เราเรียกสิ่งนี้ว่า “การมีอำนาจในการควบคุม” คนที่บ่นมักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อของสถานการณ์ ควบคุมอะไรไม่ได้เลย แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะมองหาว่า “ในสถานการณ์นี้ มีอะไรบ้างที่ฉันพอจะทำได้” ถ้าคุณไม่พอใจผลงานของทีม ให้กลับมาดูที่การกระทำของตัวเอง เราซ้อมพอหรือยัง? เราสื่อสารกันดีพอไหม? เรามีวินัยแค่ไหน? การพัฒนา “ฟอร์มการเล่น” ของเราเอง คือการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนที่สุดครับ
ข้อที่ 3: คำบ่นคือพลังลบ ยิ่งพูดมาก ทีมยิ่งเสียสมาธิ
คำพูดคือคลื่นพลังงาน เมื่อคนหนึ่งบ่น มันจะส่งคลื่นความถี่ต่ำออกไป กระทบโสตประสาทของคนรอบข้าง ทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่และหมดแรงไปด้วย ลองนึกถึงก้อนหินที่โยนลงไปในน้ำนิ่งๆ คำบ่นก็เหมือนก้อนหินนั้น ที่สร้างระลอกคลื่นแห่งความขุ่นมัว กระจายไปทั่วทั้งทีม ทำให้ทุกคนเสียสมาธิจากเป้าหมายที่แท้จริงไปจดจ่ออยู่กับปัญหาแทน
ข้อที่ 4: สิ่งที่พูดออกมาสะท้อนสิ่งที่คิดอยู่ ถ้าอยากเป็นผู้นำ ต้องคิดบวกแล้วส่งต่อพลังบวก
สมองของเราทำงานตามสิ่งที่เราป้อนให้มันครับ ถ้าเราป้อนแต่ความคิดลบๆ คำพูดที่ออกมาก็ย่อมเป็นลบ และมันจะกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ตอกย้ำความคิดนั้นให้ฝังรากลึกยิ่งขึ้น ในฐานะผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทีม ผู้นำครอบครัว หรือแม้แต่การนำชีวิตของตัวเอง คุณภาพของคำพูดที่คุณใช้ จะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของบรรยากาศและผลลัพธ์ที่จะตามมาเสมอ
ข้อที่ 5: บ่นเยอะทำลายความสัมพันธ์ในทีม เหมือนคู่รักที่เอาแต่จับผิดกัน
ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนที่เอาแต่พูดเรื่องลบๆ หรอกครับ แรกๆ เราอาจจะรับฟังด้วยความเห็นใจ แต่เมื่อนานวันเข้า พลังงานของเราก็จะถูกสูบไปด้วย ความสัมพันธ์ที่แข็งแรงสร้างจากรากฐานของการให้กำลังใจ การชื่นชม และการมองเห็นข้อดีของกันและกัน การบ่นคือการรดน้ำพรวนดินให้กับข้อเสีย จนสุดท้ายความดีงามที่มีอยู่ก็เหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด
ข้อที่ 6: การบ่นไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เป็นการเสียเวลาและโฟกัสในสนาม
เวลาคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดและไม่สามารถเรียกคืนได้ ทุกนาทีที่คุณใช้ไปกับการบ่น คือนาทีที่คุณสูญเสียโอกาสในการคิดหาวิธีแก้ปัญหา หรือลงมือทำอะไรสักอย่างให้ดีขึ้น การบ่นทำให้เราจมอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ และกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จนลืมไปว่าสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้จริงๆ คือการกระทำในปัจจุบันขณะ
ข้อที่ 7: คำบ่นก็เหมือนกลิ่นปาก ตัวเองไม่รู้ แต่คนอื่นทนฟังไม่ได้
นี่เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพชัดเจนมากครับ คนที่ติดนิสัยบ่นมักจะไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นสร้างความอึดอัดให้คนรอบข้างมากแค่ไหน พวกเขาอาจคิดว่ากำลัง “ระบาย” หรือ “พูดความจริง” แต่ในสายตาคนอื่น มันคือมลพิษทางเสียงและอารมณ์ที่ไม่มีใครอยากทน เราจึงต้องมีสติรู้เท่าทันคำพูดของตัวเองอยู่เสมอครับ
ข้อที่ 8: ยิ่งบ่น ยิ่งหมกมุ่นกับปัญหา แทนที่จะหาทางสร้างโอกาสใหม่
สมองของเรามีกลไก ซึ่งจะคอยมองหาสิ่งที่เราให้ความสนใจ เมื่อเราบ่นเรื่องอะไรซ้ำๆ ก็เท่ากับเรากำลังสั่งสมองว่า “จงมองหาปัญหาแบบนี้ให้มากขึ้น” แทนที่เราจะมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤต เรากลับมองเห็นแต่ข้อเสียและอุปสรรคเต็มไปหมด การหยุดบ่นจึงเป็นการปรับจูนคลื่นสมองให้พร้อมรับโอกาสใหม่ๆ ครับ
ข้อที่ 9: ก่อนจะบ่น ลองคิดก่อนว่ามันจะทำให้บรรยากาศในทีมดีขึ้นไหม
นี่คือการฝึกสติที่ทรงพลังมากครับ ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากปาก ให้หยุดถามตัวเองสักวินาทีว่า “คำพูดนี้จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น หรือแย่ลง?” “คำพูดนี้จะสร้างแรงบันดาลใจ หรือบั่นทอนกำลังใจ?” แค่คำถามง่ายๆ นี้ ก็สามารถเปลี่ยนคำบ่นนับพัน ให้กลายเป็นความเงียบที่สร้างสรรค์ หรือคำพูดที่ทรงพลังได้อย่างน่าอัศจรรย์
ข้อที่ 10: คนที่บ่นเก่ง อาจจะกลายเป็นคนที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ในที่สุด
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมที่โหยหาการยอมรับและการเชื่อมต่อ แต่การบ่นกลับเป็นพฤติกรรมที่ผลักไสผู้คนออกไป เพราะมันสร้างกำแพงแห่งพลังลบที่ไม่มีใครอยากข้ามเข้ามา ต่อให้คุณเป็นคนเก่ง มีความสามารถแค่ไหน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกแย่ สุดท้ายแล้วคุณก็จะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวกับปัญหาที่คุณบ่นถึงนั่นเอง
ข้อที่ 11: การหยุดบ่นคือการฝึกใจให้เลือกมองด้านที่ควบคุมได้ ไม่ใช่ด้านที่ควบคุมไม่ได้
ชีวิตนี้มีเพียงสองสิ่งครับ คือ สิ่งที่เราควบคุมได้ กับ สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ การจราจร ความคิดของคนอื่น หรือสภาพอากาศ เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ การบ่นถึงสิ่งเหล่านี้จึงไร้ประโยชน์สิ้นดี แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือ ทัศนคติของเรา การกระทำของเรา และการตอบสนองของเรา การเลิกบ่นคือการดึงพลังกลับมาสู่ตัวเอง และโฟกัสที่การทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด
ข้อที่ 12: ถ้าเปลี่ยนจากการบ่นมาเป็นการเสนอวิธีแก้ ทุกทีม ทุกครอบครัวจะพัฒนาเร็วขึ้นมหาศาล
ลองใช้สูตรง่ายๆ นี้ดูครับ “แทนที่จะพูดว่า ‘[ปัญหา]’, ลองพูดว่า ‘ฉันสังเกตเห็น [ปัญหา] และฉันมีแนวคิดที่จะ [เสนอวิธีแก้] เรามาลองทำแบบนี้กันดีไหม?'” การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้ จะเปลี่ยนสถานะของคุณจาก “นักบ่น” ให้กลายเป็น “นักแก้ปัญหา” ในทันที และมันจะสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนพร้อมจะร่วมมือกันเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
ข้อที่ 13: คนที่ประสบความสำเร็จมักไม่เสียเวลาไปกับการบ่น แต่ใช้พลังนั้นในการสร้างสิ่งใหม่
ลองนึกถึงบุคคลที่คุณชื่นชมในประวัติศาสตร์หรือในปัจจุบันดูสิครับ พวกเขาใช้เวลาไปกับการสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การลงมือทำ หรือการบ่นถึงโชคชะตา? คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว พลังงานชีวิตของคนเรามีจำกัดในแต่ละวัน เราเลือกได้ว่าจะใช้มันไปกับการคร่ำครวญถึงสิ่งที่ขาด หรือจะใช้มันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจริง
ข้อที่ 14: การเลิกบ่นคือการลด “มลพิษทางอารมณ์” ที่เราส่งออกไปให้คนรอบตัว
ทุกครั้งที่เราหยุดบ่นได้หนึ่งครั้ง เท่ากับเราได้มอบอากาศบริสุทธิ์ทางอารมณ์ให้กับคนรอบข้างหนึ่งครั้ง เรากำลังทำหน้าที่เป็นเครื่องฟอกอากาศให้กับสังคม แทนที่จะเป็นโรงงานปล่อยควันพิษ การกระทำเช่นนี้เป็นการสร้าง “บุญ” หรือ “กุศล” ในทางอ้อม ที่จะย้อนกลับมาทำให้ชีวิตของเราสงบสุขและน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ข้อที่ 15: ถ้าอยากให้ใครฟังเรา ลองเริ่มจากการพูดเชิงสร้างสรรค์แทนการบ่น แล้วคุณจะได้พลังการโน้มน้าวที่มากขึ้น
การบ่นทำให้คนปิดประตูใส่เรา แต่การพูดเชิงสร้างสรรค์และเสนอทางออกจะทำให้คนเปิดใจรับฟัง หากคุณต้องการโน้มน้าวใจลูกน้อง เจ้านาย หรือแม้แต่คนในครอบครัว ให้เริ่มต้นด้วยการชื่นชมสิ่งที่พวกเขาทำได้ดี แล้วค่อยเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาอย่างนุ่มนวลและสร้างสรรค์ นี่คือศิลปะการสื่อสารของผู้นำที่แท้จริง ที่สามารถเปลี่ยนผู้คนได้ด้วยพลังแห่งคำพูดเชิงบวก
สุดท้ายนี้ครับ ทุกท่านจะเห็นว่า การบ่นไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้นเลย มันเป็นเพียงการแสดงออกถึงความอ่อนแอและหมดหนทาง แต่การเลือกที่จะเงียบและลงมือทำ หรือเลือกที่จะพูดเชิงสร้างสรรค์ คือการแสดงออกถึงความเข้มแข็งและปัญญาที่อยู่ภายในตัวเรา
วันนี้ ผมอยากจะเชิญชวนทุกท่านมาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันครับ
ก่อนอื่นเลย ผมอยากให้คุณลองใช้เวลาสักครู่ นึกถึงใครสักคนในชีวิตของคุณที่เป็นคนคิดบวก เป็นพลังงานดีๆ ให้กับคุณเสมอ… เมื่อนึกออกแล้ว ผมอยากให้คุณพิมพ์คำว่า “ขอบคุณ” ตามด้วยชื่อย่อของเขาคนนั้นลงในคอมเมนต์ด้านล่างนี้ครับ เรามาเริ่มต้นสร้างพลังบวกด้วยการแสดงความขอบคุณกันก่อน
และคำถามสำคัญสำหรับตัวคุณในวันนี้ก็คือ… มีเรื่องอะไรที่คุณตั้งใจจะ ‘เลิกบ่น’ นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป? ลองเขียนมันออกมาในคอมเมนต์เช่นกันครับ การประกาศเจตนารมณ์ออกมา คือก้าวแรกที่ทรงพลังที่สุดของการเปลี่ยนแปลง
การเดินทางสู่ชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เพียงครั้งเดียว แต่เกิดจากการตัดสินใจเล็กๆ ที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน การเลิกบ่นคือหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อตัวเองและคนรอบข้าง
หากข้อคิดในวันนี้เป็นประโยชน์กับคุณ โปรดช่วยกันส่งต่อพลังงานดีๆ เหล่านี้ออกไป ด้วยการกดไลค์ กดแชร์วิดีโอนี้ให้กับคนที่คุณรัก และที่สำคัญ กดติดตามช่องของเราไว้ เพื่อที่คุณจะไม่พลาดสาระดีๆ ที่จะช่วยยกระดับชีวิตและจิตใจของคุณในทุกๆ วัน สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

