เม้ามอยกับมามูมะ

15 ข้อ จิตวิทยาทำให้คนเกรงใจคุณ

15 ข้อ จิตวิทยาทำให้คนเกรงใจคุณ

วันนี้ผมจะมอบเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ใช้ได้ผลจริงกับ 15 ข้อ จิตวิทยาทำให้คนเกรงใจคุณ ที่จะช่วยสร้าง “พลังแห่งความนิ่งและขอบเขตที่ชัดเจน” ให้กับคุณ มันคือพลังที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึก ‘เกรงใจ’ คุณโดยอัตโนมัติ เป็นความเกรงใจที่มาจากความเคารพ ไม่ใช่ความกลัว และทั้งหมดนี้… คุณไม่จำเป็นต้องขึ้นเสียง ไม่ต้องใช้อำนาจ และไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนแข็งกร้าวเลยแม้แต่น้อย

หากคุณฟังจนจบ คุณจะได้รับแผนที่ที่ชัดเจนในการสร้างเกราะป้องกันใจที่มองไม่เห็น ทำให้คุณควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น มีเวลาและพลังงานไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ และที่สำคัญที่สุดคือ การทวงคืนคุณค่าในตัวเองกลับมาครับ

เรามาเริ่มกันเลยนะครับ

รากฐานที่สำคัญที่สุดของการที่คนอื่นจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร เริ่มต้นจากวิธีที่เราปฏิบัติต่อตัวเอง ภาษากายและพลังงานภายในของเราสื่อสารออกไปดังกว่าคำพูดนับพันเท่าครับ

ข้อที่ 1: ใช้ความนิ่งเป็นอาวุธ

ในโลกที่ทุกคนรีบเร่งที่จะตอบสนอง คนที่สามารถ ‘นิ่ง’ ได้ คือคนที่คุมเกมครับ ความนิ่งของคุณสร้างสุญญากาศเล็กๆ ขึ้นในการสนทนา มันทำให้คู่สนทนาอ่านคุณได้ยากขึ้น และความอ่านยากนี่แหละครับคือพลัง พวกเขาจะเริ่มไม่แน่ใจว่าคุณคิดอะไรอยู่ และจะเริ่มให้ความสำคัญกับคำตอบของคุณมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เวลาที่มีคนยื่นข้อเสนอที่กดดัน หรือโยนคำถามยากๆ มาให้คุณ อย่าเพิ่งรีบตอบสนองทันที ให้ฝึกเทคนิคง่ายๆ คือการ หายใจ ครับ หายใจเข้าลึกๆ สัก 4 วินาที กลั้นไว้ 2 วินาที แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ 6 วินาที ในช่วงเวลานี้ นอกจากจะช่วยให้คุณมีสติแล้ว มันยังส่งสัญญาณไปถึงอีกฝ่ายว่า “ฉันรับรู้เรื่องของคุณ แต่ฉันคือคนเลือกที่จะตอบเมื่อพร้อม”

ตัวอย่าง: หัวหน้าเดินมาบอกว่า “โปรเจกต์นี้ต้องเสร็จภายในเย็นนี้นะ” แทนที่จะตอบว่า “โอ้โห ไม่น่าจะทันครับ” ทันที ให้คุณนิ่งไป 2-3 วินาที มองไปที่ข้อมูล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อืม… ผมขอเวลาดูรายละเอียดสักครู่นะครับ” แค่นี้ก็เปลี่ยนจากผู้ตามเป็นผู้ประเมินสถานการณ์แล้วครับ

ข้อที่ 2: มองตาอย่างมั่นคง แต่นุ่มนวล

ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ และยังเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดด้วย การสบตาที่มั่นคงคือการประกาศว่า “ฉันอยู่ที่นี่ และฉันให้เกียรติบทสนทนานี้” แต่ต้องไม่ใช่การจ้องเขม็งแบบหาเรื่องนะครับ

เทคนิคคือ สบตาคู่สนทนาประมาณ 3-5 วินาที แล้วผ่อนสายตาลงเล็กน้อย อาจจะมองไปที่ระหว่างคิ้ว หรือเบนสายตาไปด้านข้างเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิด แล้วค่อยกลับมาสบตาใหม่ มันสื่อถึงความมั่นใจแต่ไม่คุกคาม

ตัวอย่าง: เวลาที่คุณต้องปฏิเสธใครสักคน ให้สบตาเขาอย่างนุ่มนวลแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจความจำเป็นของคุณจริงๆ ครับ” (พยักหน้าช้าๆ) “และนี่คือสิ่งที่ผมสามารถช่วยได้ในตอนนี้” การสบตาจะทำให้คำพูดของคุณมีน้ำหนักและจริงใจ แม้ว่าจะเป็นการปฏิเสธก็ตาม

ข้อที่ 3: พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง

น้ำเสียงสามารถเปลี่ยนความหมายของประโยคได้ทั้งหมดครับ คนที่น่าเกรงใจไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดัง แต่จะพูดด้วยโทนเสียงที่ต่ำลงเล็กน้อย และมีความเร็วที่ช้าลงนิดหน่อย เสียงแบบนี้สื่อถึงความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ

ลองฝึกง่ายๆ กับตัวเองหน้ากระจกก็ได้ครับ ลองพูดประโยคเดียวกันด้วยสองโทนเสียง แบบแรกคือเสียงสูงๆ เร็วๆ เหมือนร้อนรน “ผมจะทำตามขั้นตอนนี้นะครับ!” กับแบบที่สอง ลดโทนเสียงลงครึ่งอ็อกเทฟ พูดช้าลง “เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด… ผมจะทำตามขั้นตอนนี้นะครับ” คุณจะเห็นเลยว่าประโยคหลังทรงพลังกว่ามาก

ข้อที่ 4: เว้นระยะห่างและใช้พื้นที่ให้เป็น

พื้นที่รอบตัวเรา คือขอบเขตที่มองไม่เห็น การที่คุณเว้นระยะห่างที่เหมาะสม (ประมาณหนึ่งช่วงแขน) คือการสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่า “ฉันเคารพพื้นที่ของคุณ และนี่คือพื้นที่ของฉัน”

ท่วงท่าก็สำคัญครับ ยืนให้ตัวตรง ไหล่ผาย ไม่เอนตัวไปหาคู่สนทนามากเกินไป เพราะนั่นคือภาษากายของคนที่ต้องการการยอมรับ (approval seeking) ให้วางแขนไว้ข้างลำตัวสบายๆ หรือประสานมือไว้ด้านหน้าต่ำๆ เป็นท่าทีที่เปิดเผยแต่มั่นคง หลีกเลี่ยงการกอดอกตลอดเวลา เพราะอาจดูเป็นการปิดกั้นเกินไปครับ

ข้อที่ 5: หัวเราะให้น้อยลง (หัวเราะเมื่อเหมาะสมจริงๆ)

ข้อนี้อาจจะฟังดูแปลก แต่สำคัญมากครับ หลายคนใช้เสียงหัวเราะเป็นเครื่องมือลดความตึงเครียด หรือใช้กลบเกลื่อนความไม่มั่นใจของตัวเอง การหัวเราะพร่ำเพรื่อในบทสนทนาที่จริงจัง จะทำให้คำพูดของคุณขาดน้ำหนักไปในทันที

ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเป็นคนไร้อารมณ์ขันนะครับ แต่ให้เลือกใช้มันอย่างชาญฉลาด เก็บเสียงหัวเราะไว้สำหรับเรื่องที่ตลกจริงๆ ในสถานการณ์ทั่วไป ให้ใช้ รอยยิ้มบางๆ และการพยักหน้ารับรู้แทน มันทำให้คุณดูเป็นผู้ใหญ่ สุขุม และควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่าครับ

เมื่อเรามีฐานภายในที่มั่นคงแล้ว ทีนี้เราจะมาดูกันที่เครื่องมือภายนอกที่ทรงพลังที่สุด นั่นก็คือคำพูด และที่สำคัญไม่แพ้กัน… คือความเงียบ

ข้อที่ 6: ไม่ตอบทันที แต่ใช้ความเงียบเป็นเครื่องมือ

ความเงียบ 2-5 วินาทีหลังจากที่คุณได้ยินคำขอร้องหรือคำถาม คือช่วงเวลาทองคำครับ มันไม่ใช่ความลังเล แต่เป็นสัญญาณว่า “ฉันกำลังประเมินคำขอนั้นอย่างจริงจัง” มันเป็นการหยุดพฤติกรรมการรับปากอัตโนมัติที่หลายคนติดเป็นนิสัย

ความเงียบนี้จะทำให้ผู้ร้องขอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาขอนั้นมีน้ำหนัก และคำตอบของคุณก็มีค่าเช่นกัน เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับการ “ตกลง” ของคุณโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่าง: เพื่อนร่วมงาน: “เย็นนี้อยู่ช่วยทำสไลด์หน่อยสิ”
แทนที่จะตอบทันที ให้เงียบไป 3 วินาที แล้วค่อยพูดว่า “อืม… ขอผมเช็คตารางงานของผมก่อนนะครับ แล้วจะให้คำตอบ”

ข้อที่ 7: ไม่ขอ ไม่ง้อ ไม่รีบร้อน

จิตวิทยาอย่างหนึ่งคือ คนที่ดูรีบร้อนที่สุดในบทสนทนา มักจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ เพราะความรีบร้อนส่งสัญญาณของความต้องการ และความต้องการคือจุดอ่อน คนที่น่าเกรงใจคือคนที่ให้คุณค่ากับเวลาและพลังงานของตัวเอง พวกเขาจะไม่ยอมทุกอย่างเพียงเพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไป

ตัวอย่าง: หากคุณต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน ให้พูดว่า “เรื่องนี้ถ้าคุณพอมีเวลาภายในสัปดาห์หน้า รบกวนดูให้ผมหน่อยนะครับ แต่ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไร” ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าคุณวางแผนมาล่วงหน้า และคุณมีทางเลือกอื่น ไม่ได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขาคนเดียว

ข้อที่ 8: อย่าอธิบายเกินความจำเป็น

จำไว้ให้ดีนะครับ: การแก้ต่างหรืออธิบายยืดยาว คือการส่งสัญญาณว่าเราไม่มั่นใจในเหตุผลของตัวเอง และกำลังร้องขอการยอมรับจากอีกฝ่าย คนที่มั่นคงจะใช้เหตุผลที่สั้น กระชับ และตรงประเด็น

ผมมีแม่แบบ 3 ส่วนง่ายๆ ให้คุณใช้ เวลาต้องปฏิเสธหรือชี้แจง คือ “ขอบเขต – เหตุผลสั้นๆ – ทางเลือก”

ตัวอย่าง: รุ่นน้องมาขอให้ช่วยงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ
คุณสามารถพูดว่า: “งานส่วนนี้อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของพี่ (ขอบเขต) กลัวว่าถ้าพี่ทำไปอาจจะทำให้เธอรอนานและข้อมูลไม่ครบถ้วน (เหตุผลสั้นๆ) ลองปรึกษาพี่ A ที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงน่าจะดีกว่านะ (ทางเลือก)” สั้น ชัดเจน และจบครับ

ข้อที่ 9: ใช้คำพูดสั้นๆ แต่ตรงจุด

ในโลกธุรกิจและการทำงาน ความชัดเจนคือความเมตตาครับ ตัดคำพูดเยิ่นเย้อ ฟุ่มเฟือย หรือใส่อารมณ์ออกไป ให้เหลือแต่แก่นของข้อมูลที่จำเป็น ฝึกใช้ประโยคที่มีความยาวประมาณ 7-12 คำพอ

ตัวอย่าง:

แบบเดิม: "เอ่อ พอดีว่าพรุ่งนี้อยากจะได้ไฟล์เวอร์ชันล่าสุดที่แก้แล้วอะครับ ยังไงรบกวนช่วยเทสให้เรียบร้อยก่อนส่งด้วยนะครับ เพราะเดี๋ยวกลัวมีปัญหาอีก"

แบบใหม่: "เดดไลน์พรุ่งนี้ 10 โมงเช้า ขอเป็นเวอร์ชันที่ทดสอบแล้วนะครับ"

เห็นไหมครับว่าแบบใหม่คมกว่า น่าเชื่อถือกว่า และไม่เปิดช่องให้ตีความผิดพลาด

ข้อที่ 10: ทำให้เขารู้ว่าคุณมี ‘บางอย่าง’ ที่เขาไม่รู้ (ความลึกลับเชิงมืออาชีพ)

ข้อนี้ไม่ได้หมายถึงให้คุณเล่นตัวหรือทำตัวลึกลับซับซ้อนนะครับ แต่มันคือการ คงความเป็นส่วนตัวในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย และ โชว์ผลลัพธ์มากกว่าเล่ากระบวนการทั้งหมด คนที่พูดทุกอย่างที่ตัวเองคิดหรือทำ มักจะดูเป็นหนังสือที่เปิดอ่านง่ายเกินไป

การที่คุณรู้ลึกในเรื่องงานของคุณ แต่เลือกที่จะสรุปเฉพาะผลลัพธ์ที่สำคัญให้คนอื่นฟัง จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณมีความเชี่ยวชาญและมีข้อมูลเชิงลึกที่พวกเขาเข้าไม่ถึง สิ่งนี้สร้างความเคารพในทางวิชาชีพได้เป็นอย่างดีครับ

ตัวอย่าง: “เรื่องข้อมูลหลังบ้านมีความซับซ้อนนิดหน่อยครับ แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการแล้วจะสรุปผลลัพธ์สุดท้ายให้ดูตอนทดสอบเสร็จนะครับ”

และนี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้ทุกอย่างที่เราทำมาในภาค 1 และ 2 ยั่งยืน มันคือการสร้างกติกาของชีวิต ที่จะทำให้คนอื่นรู้ว่าควรปฏิบัติต่อเราอย่างไร

ข้อที่ 11: ไม่ใจดีทุกเรื่องแบบไม่มีขอบเขต

ความใจดีเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ความใจดีที่ไม่มีขอบเขต คือการทำร้ายตัวเองและทำลายความสัมพันธ์ในระยะยาว คุณต้องมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนว่าความช่วยเหลือของคุณสิ้นสุดที่ตรงไหน และมีเงื่อนไขอะไรบ้าง

ตัวอย่าง: เพื่อนร่วมงานมาขอให้ช่วยงานบ่อยๆ
คุณช่วยเขาได้ แต่หลังจากช่วยเสร็จให้พูดว่า: “ครั้งนี้ไม่เป็นไรนะ เรายินดีช่วย แต่ครั้งหน้าถ้ามีเคสแบบนี้อีก รบกวนเธอช่วยส่งเรื่องผ่านขั้นตอนขออนุมัติตามระบบก่อนนะ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นทางการและตรวจสอบได้” นี่คือการใจดีที่มีเงื่อนไขและสอนให้คนอื่นเคารพกระบวนการครับ

ข้อที่ 12: รู้จักที่จะหายไปบ้าง

คุณไม่จำเป็นต้องออนไลน์และพร้อมตอบกลับตลอด 24 ชั่วโมง การที่คุณพร้อมเสมอคือการลดคุณค่าของเวลาคุณเอง จงสร้างช่วงเวลาที่คุณจะ “หายไป” เพื่อโฟกัสกับงานที่สำคัญจริงๆ ปิดการแจ้งเตือน ไม่ต้องตอบแชททันที

ตัวอย่าง: ตั้งค่าในโปรไฟล์การทำงานของคุณ หรือแจ้งทีมให้ทราบว่า “ช่วงเวลา 9:00 – 10:30 น. ของทุกวัน จะเป็นช่วง Deep Work ของผมนะครับ จะขออนุญาตไม่ตอบแชท เพื่อเร่งงานสำคัญให้เสร็จ หากมีเรื่องด่วนจริงๆ รบกวนโทรเข้ามาเท่านั้น” การทำแบบนี้คือการสอนให้คนอื่นเคารพเวลาและจังหวะการทำงานของคุณ

ข้อที่ 13: พูดคำว่า “ไม่” อย่างนุ่มนวลแต่ชัดเจน

หลายคนกลัวการพูดคำว่า “ไม่” เพราะกลัวจะถูกมองว่าไม่มีน้ำใจ แต่การพูด “ไม่” เป็น คือทักษะของผู้ใหญ่ที่เคารพตัวเองและผู้อื่นครับ

ผมมีสูตร 3 ขั้นตอนสำหรับการปฏิเสธอย่างมืออาชีพ: ขอบคุณ → ปฏิเสธอย่างชัดเจน → ชี้ทางเลือกอื่น (ถ้ามี)

ตัวอย่าง: มีคนชวนคุณเข้าร่วมโปรเจกต์ที่คุณไม่สนใจ
“ขอบคุณมากนะครับที่นึกถึงผมและให้เกียรติมาชวน (ขอบคุณ) แต่สำหรับช่วงนี้ผมคงต้องขอปฏิเสธไปก่อน เนื่องจากตารางงานผมเต็มจริงๆ ครับ (ปฏิเสธ) แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเหมาะกับทีม X มากๆ เลยนะครับ ลองติดต่อไปดูได้ครับ (ชี้ทางเลือก)”

ข้อที่ 14: ตั้งกติกาก่อนที่จะเริ่ม

การป้องกันดีกว่าการแก้ไขเสมอครับ ก่อนที่คุณจะรับงาน ช่วยเหลือใคร หรือเริ่มความสัมพันธ์ใดๆ การวางกติกา ขอบเขต และความคาดหวังให้ชัดเจนตั้งแต่แรก จะช่วยลดปัญหาในอนาคตได้ 90%

ตัวอย่าง: ก่อนเริ่มโปรเจกต์ใหม่กับลูกค้า
“เพื่อให้การทำงานของเราราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผมขออนุญาตตั้งกติการ่วมกัน 3 ข้อนะครับ: หนึ่งคือขอเดดไลน์ที่ชัดเจน สองคือกำหนดผู้มีอำนาจตัดสินใจเพียงคนเดียว และสามคือการรีวิวงานจะทำได้ทั้งหมด 2 รอบ หากมีการแก้ไขเพิ่มเติม จะมีค่าใช้จ่ายตามที่ระบุในใบเสนอราคาครับ”

ข้อที่ 15: จัดการความคาดหวังด้วย “เวลาทำการ” และ “คิวงาน”

ข้อนี้คือการทำให้ทุกอย่างเป็นระบบครับ กำหนดเวลาและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจนสำหรับเรื่องต่างๆ เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าควรคาดหวังการตอบกลับจากคุณเมื่อไหร่ และเรื่องแบบไหนควรติดต่อผ่านช่องทางใด มันคือการสร้างความเกรงใจในเวลาและพลังงานของคุณอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

ตัวอย่าง: ใส่ไว้ในลายเซ็นอีเมล หรือสถานะออนไลน์ของคุณ
“เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 9:00 – 17:00 น. (ตอบอีเมลภายใน 24 ชม.) หากมีกรณีเร่งด่วน กรุณาติดต่อทางโทรศัพท์เท่านั้น”
บทสรุปและสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้

เราได้เดินทางกันมาครบทั้ง 15 ข้อแล้วนะครับ ตั้งแต่การปรับฐานภายในด้วยความนิ่งและภาษากาย การใช้คำพูดและความเงียบอย่างชาญฉลาด ไปจนถึงการสร้างขอบเขตและกติกาที่ชัดเจน

ผมจะขอสรุปทั้ง 15 ข้อให้ฟังอีกครั้งแบบรวบรัด เพื่อให้คุณจดจำได้ง่ายๆ ครับ

นิ่งคือการคุมเกม: ใช้ความเงียบก่อนตอบเสมอ

มองตาให้มั่นคง: สื่อสารความมั่นใจและความจริงใจ

เสียงต่ำ ช้า ชัด: คือเสียงของความน่าเชื่อถือ

เว้นระยะ ยืนมั่นคง: ประกาศขอบเขตที่มองไม่เห็น

หัวเราะเท่าที่เหมาะ: อย่าใช้เสียงหัวเราะลดทอนคุณค่าคำพูด

ใช้ความเงียบประเมิน: หยุดพฤติกรรมรับปากอัตโนมัติ

ไม่ขอ ไม่ง้อ ไม่รีบ: คนที่นิ่งกว่าคือผู้คุมสถานการณ์

ไม่อธิบายเกินจำเป็น: เหตุผลที่สั้นคือเหตุผลที่ทรงพลัง

คำพูดสั้น ตรงจุด: ความชัดเจนคือความเมตตา

โชว์ผลลัพธ์ ไม่ใช่ขั้นตอน: สร้างความน่าเชื่อถือแบบมืออาชีพ

ใจดีแต่มีเส้น: ความช่วยเหลือของคุณมีค่าและมีเงื่อนไข

หายไปให้เป็น: สอนให้คนอื่นเคารพเวลาโฟกัสของคุณ

พูด "ไม่" อย่างสุภาพ: ขอบคุณ-ปฏิเสธ-ชี้ทางเลือก

ตั้งกติกาก่อนเริ่ม: ป้องกันปัญหาดีกว่าแก้ไข

เวลาทำการและคิวงานชัดเจน: สร้างระบบให้คนอื่นปฏิบัติตาม

หากตอนนี้คุณรู้สึกว่า “พอแล้วกับการเป็นคนดีที่ถูกเอาเปรียบ” ผมไม่ได้ขอให้คุณนำทั้ง 15 ข้อนี้ไปใช้พร้อมกันในวันเดียวนะครับ นั่นมันจะทำให้คุณเครียดเกินไป

การบ้านสำหรับวันนี้: ให้คุณเลือกมาเพียง ข้อเดียว ที่คุณรู้สึกว่าทำได้ง่ายที่สุดและตรงกับสถานการณ์ของคุณที่สุดในตอนนี้ แล้วลองนำไปใช้ดูครับ อาจจะเป็นแค่การฝึกหายใจก่อนตอบ หรือการพูด “ไม่” กับเรื่องเล็กๆ สักเรื่อง

พลังแห่งความนิ่งและการเคารพตัวเองไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียวครับ มันคือการค่อยๆ ต่ออิฐทีละก้อนจนกลายเป็นกำแพงที่แข็งแกร่ง กำแพงที่จะปกป้องเวลา พลังงาน และคุณค่าในตัวคุณ โดยที่คุณไม่ต้องทะเลาะกับใครเลย

ถ้าเนื้อหานี้มีคุณค่ากับชีวิตคุณ ผมฝากรบกวนช่วยกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจ กดแชร์เพื่อส่งต่อพลังนี้ให้กับคนที่คุณรักและห่วงใย และกด Subscribe เพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกันอีกในเนื้อหาดีๆ แบบนี้

และผมอยากจะชวนทุกคนคุยกันในคอมเมนต์ครับ…
“วันนี้คุณจะเลือกเริ่มจากข้อไหนก่อนครับ?”

ลองพิมพ์บอกผมและเพื่อนๆ คนอื่นหน่อย การประกาศเป้าหมายเล็กๆ ของคุณในที่สาธารณะ จะเป็นพันธสัญญาแรกที่ยอดเยี่ยมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ครับ ผมจะอ่านทุกคอมเมนต์และอาจจะช่วยแนะนำสคริปต์ตอบกลับในสถานการณ์ของคุณให้ด้วย

ในตอนหน้า เราจะมาคุยกันในหัวข้อที่เข้มข้นไม่แพ้กัน นั่นคือ “จิตวิทยารับมือคำวิจารณ์ เปลี่ยนศัตรูให้เป็นเครื่องมือ” อย่าลืมกดกระดิ่งแจ้งเตือนไว้จะได้ไม่พลาดครับ

สำหรับวันนี้ ขอบคุณที่ใช้เวลาร่วมกันครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

You may also like

ทดสอบ lemon8
เม้ามอยกับมามูมะ

เมื่อลองลงบทความวันพระ กับ บทความเลขเด็ดจากเชงเม้งเดย์

เมื่อมามูมะบุก lemon8 และทดลองลงโพสต์ใกล้ๆกัน โดยบทความแรกจะเกี่ยวกับวันพระ ทำไมต้องมีวันพระ รวมไปถึง การเล่าเรื่องต่างๆ จนมาจบลงที่ คำทำนายในวันนี้ว่า วันพระวันนี้จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้างรวมถึงให้เสี่ยงดวงว่าทำบุญอะไรดีในวันนี้ และ บทความที่สองจะเกี่ยวกับตัวเลขเด็ด เลขจากประทัดที่มามูมะได้เลขมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ในเพจมามูมะครับ และที่แอปบทมือถืออย่าง lemon8 รูปฝั่งซ้ายจะเป็นตัวเลข 2800+ ยอดคนดู สำหรับบทความที่สอง
ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย
เม้ามอยกับมามูมะ

วันดี วันร้าย ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย

การตัดผมถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องตัดอยู่เป็นประจำแต่ในวัฒนธรรมไทยกลับมองว่าเป็นพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่สำคัญ เนื่องมาจากความเชื่อและขนบธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่การเลือกวันและเวลาในการตัดผม การเลือกใช้เครื่องมือตัดผม ตลอดจนวิธีการจัดการกับเส้นผมที่ตัดออกมา ซึ่งล้วนมีจุดประสงค์เพื่อนำโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตนและครอบครัว โดยในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการตัดผมแบบไทยๆ ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต ซึ่งจะทำให้คุณได้ซาบซึ้งถึงรากเหง้าและสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของคนไทย เพื่อให้ไม่เสียเวลาของคนอ่านมากนัก เรามาดูกันว่า จะมีวันดี วันร้าย ตรงตามที่คุณรู้มาบ้างไหม ลองอ่านกันดูครับผม ในสมัยก่อนชาวบ้านจะเชื่อว่า การตัดผมในวันและเวลาหนึ่งๆ