วันนี้ผมจะมอบเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ใช้ได้ผลจริงกับ 15 ข้อ จิตวิทยาทำให้คนเกรงใจคุณ ที่จะช่วยสร้าง “พลังแห่งความนิ่งและขอบเขตที่ชัดเจน” ให้กับคุณ มันคือพลังที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึก ‘เกรงใจ’ คุณโดยอัตโนมัติ เป็นความเกรงใจที่มาจากความเคารพ ไม่ใช่ความกลัว และทั้งหมดนี้… คุณไม่จำเป็นต้องขึ้นเสียง ไม่ต้องใช้อำนาจ และไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนแข็งกร้าวเลยแม้แต่น้อย
หากคุณฟังจนจบ คุณจะได้รับแผนที่ที่ชัดเจนในการสร้างเกราะป้องกันใจที่มองไม่เห็น ทำให้คุณควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น มีเวลาและพลังงานไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ และที่สำคัญที่สุดคือ การทวงคืนคุณค่าในตัวเองกลับมาครับ
เรามาเริ่มกันเลยนะครับ
รากฐานที่สำคัญที่สุดของการที่คนอื่นจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร เริ่มต้นจากวิธีที่เราปฏิบัติต่อตัวเอง ภาษากายและพลังงานภายในของเราสื่อสารออกไปดังกว่าคำพูดนับพันเท่าครับ
ข้อที่ 1: ใช้ความนิ่งเป็นอาวุธ
ในโลกที่ทุกคนรีบเร่งที่จะตอบสนอง คนที่สามารถ ‘นิ่ง’ ได้ คือคนที่คุมเกมครับ ความนิ่งของคุณสร้างสุญญากาศเล็กๆ ขึ้นในการสนทนา มันทำให้คู่สนทนาอ่านคุณได้ยากขึ้น และความอ่านยากนี่แหละครับคือพลัง พวกเขาจะเริ่มไม่แน่ใจว่าคุณคิดอะไรอยู่ และจะเริ่มให้ความสำคัญกับคำตอบของคุณมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เวลาที่มีคนยื่นข้อเสนอที่กดดัน หรือโยนคำถามยากๆ มาให้คุณ อย่าเพิ่งรีบตอบสนองทันที ให้ฝึกเทคนิคง่ายๆ คือการ หายใจ ครับ หายใจเข้าลึกๆ สัก 4 วินาที กลั้นไว้ 2 วินาที แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ 6 วินาที ในช่วงเวลานี้ นอกจากจะช่วยให้คุณมีสติแล้ว มันยังส่งสัญญาณไปถึงอีกฝ่ายว่า “ฉันรับรู้เรื่องของคุณ แต่ฉันคือคนเลือกที่จะตอบเมื่อพร้อม”
ตัวอย่าง: หัวหน้าเดินมาบอกว่า “โปรเจกต์นี้ต้องเสร็จภายในเย็นนี้นะ” แทนที่จะตอบว่า “โอ้โห ไม่น่าจะทันครับ” ทันที ให้คุณนิ่งไป 2-3 วินาที มองไปที่ข้อมูล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อืม… ผมขอเวลาดูรายละเอียดสักครู่นะครับ” แค่นี้ก็เปลี่ยนจากผู้ตามเป็นผู้ประเมินสถานการณ์แล้วครับ
ข้อที่ 2: มองตาอย่างมั่นคง แต่นุ่มนวล
ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ และยังเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดด้วย การสบตาที่มั่นคงคือการประกาศว่า “ฉันอยู่ที่นี่ และฉันให้เกียรติบทสนทนานี้” แต่ต้องไม่ใช่การจ้องเขม็งแบบหาเรื่องนะครับ
เทคนิคคือ สบตาคู่สนทนาประมาณ 3-5 วินาที แล้วผ่อนสายตาลงเล็กน้อย อาจจะมองไปที่ระหว่างคิ้ว หรือเบนสายตาไปด้านข้างเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิด แล้วค่อยกลับมาสบตาใหม่ มันสื่อถึงความมั่นใจแต่ไม่คุกคาม
ตัวอย่าง: เวลาที่คุณต้องปฏิเสธใครสักคน ให้สบตาเขาอย่างนุ่มนวลแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจความจำเป็นของคุณจริงๆ ครับ” (พยักหน้าช้าๆ) “และนี่คือสิ่งที่ผมสามารถช่วยได้ในตอนนี้” การสบตาจะทำให้คำพูดของคุณมีน้ำหนักและจริงใจ แม้ว่าจะเป็นการปฏิเสธก็ตาม
ข้อที่ 3: พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง
น้ำเสียงสามารถเปลี่ยนความหมายของประโยคได้ทั้งหมดครับ คนที่น่าเกรงใจไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดัง แต่จะพูดด้วยโทนเสียงที่ต่ำลงเล็กน้อย และมีความเร็วที่ช้าลงนิดหน่อย เสียงแบบนี้สื่อถึงความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ
ลองฝึกง่ายๆ กับตัวเองหน้ากระจกก็ได้ครับ ลองพูดประโยคเดียวกันด้วยสองโทนเสียง แบบแรกคือเสียงสูงๆ เร็วๆ เหมือนร้อนรน “ผมจะทำตามขั้นตอนนี้นะครับ!” กับแบบที่สอง ลดโทนเสียงลงครึ่งอ็อกเทฟ พูดช้าลง “เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด… ผมจะทำตามขั้นตอนนี้นะครับ” คุณจะเห็นเลยว่าประโยคหลังทรงพลังกว่ามาก
ข้อที่ 4: เว้นระยะห่างและใช้พื้นที่ให้เป็น
พื้นที่รอบตัวเรา คือขอบเขตที่มองไม่เห็น การที่คุณเว้นระยะห่างที่เหมาะสม (ประมาณหนึ่งช่วงแขน) คือการสื่อสารโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่า “ฉันเคารพพื้นที่ของคุณ และนี่คือพื้นที่ของฉัน”
ท่วงท่าก็สำคัญครับ ยืนให้ตัวตรง ไหล่ผาย ไม่เอนตัวไปหาคู่สนทนามากเกินไป เพราะนั่นคือภาษากายของคนที่ต้องการการยอมรับ (approval seeking) ให้วางแขนไว้ข้างลำตัวสบายๆ หรือประสานมือไว้ด้านหน้าต่ำๆ เป็นท่าทีที่เปิดเผยแต่มั่นคง หลีกเลี่ยงการกอดอกตลอดเวลา เพราะอาจดูเป็นการปิดกั้นเกินไปครับ
ข้อที่ 5: หัวเราะให้น้อยลง (หัวเราะเมื่อเหมาะสมจริงๆ)
ข้อนี้อาจจะฟังดูแปลก แต่สำคัญมากครับ หลายคนใช้เสียงหัวเราะเป็นเครื่องมือลดความตึงเครียด หรือใช้กลบเกลื่อนความไม่มั่นใจของตัวเอง การหัวเราะพร่ำเพรื่อในบทสนทนาที่จริงจัง จะทำให้คำพูดของคุณขาดน้ำหนักไปในทันที
ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเป็นคนไร้อารมณ์ขันนะครับ แต่ให้เลือกใช้มันอย่างชาญฉลาด เก็บเสียงหัวเราะไว้สำหรับเรื่องที่ตลกจริงๆ ในสถานการณ์ทั่วไป ให้ใช้ รอยยิ้มบางๆ และการพยักหน้ารับรู้แทน มันทำให้คุณดูเป็นผู้ใหญ่ สุขุม และควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่าครับ
เมื่อเรามีฐานภายในที่มั่นคงแล้ว ทีนี้เราจะมาดูกันที่เครื่องมือภายนอกที่ทรงพลังที่สุด นั่นก็คือคำพูด และที่สำคัญไม่แพ้กัน… คือความเงียบ
ข้อที่ 6: ไม่ตอบทันที แต่ใช้ความเงียบเป็นเครื่องมือ
ความเงียบ 2-5 วินาทีหลังจากที่คุณได้ยินคำขอร้องหรือคำถาม คือช่วงเวลาทองคำครับ มันไม่ใช่ความลังเล แต่เป็นสัญญาณว่า “ฉันกำลังประเมินคำขอนั้นอย่างจริงจัง” มันเป็นการหยุดพฤติกรรมการรับปากอัตโนมัติที่หลายคนติดเป็นนิสัย
ความเงียบนี้จะทำให้ผู้ร้องขอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาขอนั้นมีน้ำหนัก และคำตอบของคุณก็มีค่าเช่นกัน เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับการ “ตกลง” ของคุณโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่าง: เพื่อนร่วมงาน: “เย็นนี้อยู่ช่วยทำสไลด์หน่อยสิ”
แทนที่จะตอบทันที ให้เงียบไป 3 วินาที แล้วค่อยพูดว่า “อืม… ขอผมเช็คตารางงานของผมก่อนนะครับ แล้วจะให้คำตอบ”
ข้อที่ 7: ไม่ขอ ไม่ง้อ ไม่รีบร้อน
จิตวิทยาอย่างหนึ่งคือ คนที่ดูรีบร้อนที่สุดในบทสนทนา มักจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ เพราะความรีบร้อนส่งสัญญาณของความต้องการ และความต้องการคือจุดอ่อน คนที่น่าเกรงใจคือคนที่ให้คุณค่ากับเวลาและพลังงานของตัวเอง พวกเขาจะไม่ยอมทุกอย่างเพียงเพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไป
ตัวอย่าง: หากคุณต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน ให้พูดว่า “เรื่องนี้ถ้าคุณพอมีเวลาภายในสัปดาห์หน้า รบกวนดูให้ผมหน่อยนะครับ แต่ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไร” ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าคุณวางแผนมาล่วงหน้า และคุณมีทางเลือกอื่น ไม่ได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขาคนเดียว
ข้อที่ 8: อย่าอธิบายเกินความจำเป็น
จำไว้ให้ดีนะครับ: การแก้ต่างหรืออธิบายยืดยาว คือการส่งสัญญาณว่าเราไม่มั่นใจในเหตุผลของตัวเอง และกำลังร้องขอการยอมรับจากอีกฝ่าย คนที่มั่นคงจะใช้เหตุผลที่สั้น กระชับ และตรงประเด็น
ผมมีแม่แบบ 3 ส่วนง่ายๆ ให้คุณใช้ เวลาต้องปฏิเสธหรือชี้แจง คือ “ขอบเขต – เหตุผลสั้นๆ – ทางเลือก”
ตัวอย่าง: รุ่นน้องมาขอให้ช่วยงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ
คุณสามารถพูดว่า: “งานส่วนนี้อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของพี่ (ขอบเขต) กลัวว่าถ้าพี่ทำไปอาจจะทำให้เธอรอนานและข้อมูลไม่ครบถ้วน (เหตุผลสั้นๆ) ลองปรึกษาพี่ A ที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงน่าจะดีกว่านะ (ทางเลือก)” สั้น ชัดเจน และจบครับ
ข้อที่ 9: ใช้คำพูดสั้นๆ แต่ตรงจุด
ในโลกธุรกิจและการทำงาน ความชัดเจนคือความเมตตาครับ ตัดคำพูดเยิ่นเย้อ ฟุ่มเฟือย หรือใส่อารมณ์ออกไป ให้เหลือแต่แก่นของข้อมูลที่จำเป็น ฝึกใช้ประโยคที่มีความยาวประมาณ 7-12 คำพอ
ตัวอย่าง:
แบบเดิม: "เอ่อ พอดีว่าพรุ่งนี้อยากจะได้ไฟล์เวอร์ชันล่าสุดที่แก้แล้วอะครับ ยังไงรบกวนช่วยเทสให้เรียบร้อยก่อนส่งด้วยนะครับ เพราะเดี๋ยวกลัวมีปัญหาอีก"
แบบใหม่: "เดดไลน์พรุ่งนี้ 10 โมงเช้า ขอเป็นเวอร์ชันที่ทดสอบแล้วนะครับ"
เห็นไหมครับว่าแบบใหม่คมกว่า น่าเชื่อถือกว่า และไม่เปิดช่องให้ตีความผิดพลาด
ข้อที่ 10: ทำให้เขารู้ว่าคุณมี ‘บางอย่าง’ ที่เขาไม่รู้ (ความลึกลับเชิงมืออาชีพ)
ข้อนี้ไม่ได้หมายถึงให้คุณเล่นตัวหรือทำตัวลึกลับซับซ้อนนะครับ แต่มันคือการ คงความเป็นส่วนตัวในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย และ โชว์ผลลัพธ์มากกว่าเล่ากระบวนการทั้งหมด คนที่พูดทุกอย่างที่ตัวเองคิดหรือทำ มักจะดูเป็นหนังสือที่เปิดอ่านง่ายเกินไป
การที่คุณรู้ลึกในเรื่องงานของคุณ แต่เลือกที่จะสรุปเฉพาะผลลัพธ์ที่สำคัญให้คนอื่นฟัง จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณมีความเชี่ยวชาญและมีข้อมูลเชิงลึกที่พวกเขาเข้าไม่ถึง สิ่งนี้สร้างความเคารพในทางวิชาชีพได้เป็นอย่างดีครับ
ตัวอย่าง: “เรื่องข้อมูลหลังบ้านมีความซับซ้อนนิดหน่อยครับ แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการแล้วจะสรุปผลลัพธ์สุดท้ายให้ดูตอนทดสอบเสร็จนะครับ”
และนี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้ทุกอย่างที่เราทำมาในภาค 1 และ 2 ยั่งยืน มันคือการสร้างกติกาของชีวิต ที่จะทำให้คนอื่นรู้ว่าควรปฏิบัติต่อเราอย่างไร
ข้อที่ 11: ไม่ใจดีทุกเรื่องแบบไม่มีขอบเขต
ความใจดีเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ความใจดีที่ไม่มีขอบเขต คือการทำร้ายตัวเองและทำลายความสัมพันธ์ในระยะยาว คุณต้องมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนว่าความช่วยเหลือของคุณสิ้นสุดที่ตรงไหน และมีเงื่อนไขอะไรบ้าง
ตัวอย่าง: เพื่อนร่วมงานมาขอให้ช่วยงานบ่อยๆ
คุณช่วยเขาได้ แต่หลังจากช่วยเสร็จให้พูดว่า: “ครั้งนี้ไม่เป็นไรนะ เรายินดีช่วย แต่ครั้งหน้าถ้ามีเคสแบบนี้อีก รบกวนเธอช่วยส่งเรื่องผ่านขั้นตอนขออนุมัติตามระบบก่อนนะ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นทางการและตรวจสอบได้” นี่คือการใจดีที่มีเงื่อนไขและสอนให้คนอื่นเคารพกระบวนการครับ
ข้อที่ 12: รู้จักที่จะหายไปบ้าง
คุณไม่จำเป็นต้องออนไลน์และพร้อมตอบกลับตลอด 24 ชั่วโมง การที่คุณพร้อมเสมอคือการลดคุณค่าของเวลาคุณเอง จงสร้างช่วงเวลาที่คุณจะ “หายไป” เพื่อโฟกัสกับงานที่สำคัญจริงๆ ปิดการแจ้งเตือน ไม่ต้องตอบแชททันที
ตัวอย่าง: ตั้งค่าในโปรไฟล์การทำงานของคุณ หรือแจ้งทีมให้ทราบว่า “ช่วงเวลา 9:00 – 10:30 น. ของทุกวัน จะเป็นช่วง Deep Work ของผมนะครับ จะขออนุญาตไม่ตอบแชท เพื่อเร่งงานสำคัญให้เสร็จ หากมีเรื่องด่วนจริงๆ รบกวนโทรเข้ามาเท่านั้น” การทำแบบนี้คือการสอนให้คนอื่นเคารพเวลาและจังหวะการทำงานของคุณ
ข้อที่ 13: พูดคำว่า “ไม่” อย่างนุ่มนวลแต่ชัดเจน
หลายคนกลัวการพูดคำว่า “ไม่” เพราะกลัวจะถูกมองว่าไม่มีน้ำใจ แต่การพูด “ไม่” เป็น คือทักษะของผู้ใหญ่ที่เคารพตัวเองและผู้อื่นครับ
ผมมีสูตร 3 ขั้นตอนสำหรับการปฏิเสธอย่างมืออาชีพ: ขอบคุณ → ปฏิเสธอย่างชัดเจน → ชี้ทางเลือกอื่น (ถ้ามี)
ตัวอย่าง: มีคนชวนคุณเข้าร่วมโปรเจกต์ที่คุณไม่สนใจ
“ขอบคุณมากนะครับที่นึกถึงผมและให้เกียรติมาชวน (ขอบคุณ) แต่สำหรับช่วงนี้ผมคงต้องขอปฏิเสธไปก่อน เนื่องจากตารางงานผมเต็มจริงๆ ครับ (ปฏิเสธ) แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเหมาะกับทีม X มากๆ เลยนะครับ ลองติดต่อไปดูได้ครับ (ชี้ทางเลือก)”
ข้อที่ 14: ตั้งกติกาก่อนที่จะเริ่ม
การป้องกันดีกว่าการแก้ไขเสมอครับ ก่อนที่คุณจะรับงาน ช่วยเหลือใคร หรือเริ่มความสัมพันธ์ใดๆ การวางกติกา ขอบเขต และความคาดหวังให้ชัดเจนตั้งแต่แรก จะช่วยลดปัญหาในอนาคตได้ 90%
ตัวอย่าง: ก่อนเริ่มโปรเจกต์ใหม่กับลูกค้า
“เพื่อให้การทำงานของเราราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผมขออนุญาตตั้งกติการ่วมกัน 3 ข้อนะครับ: หนึ่งคือขอเดดไลน์ที่ชัดเจน สองคือกำหนดผู้มีอำนาจตัดสินใจเพียงคนเดียว และสามคือการรีวิวงานจะทำได้ทั้งหมด 2 รอบ หากมีการแก้ไขเพิ่มเติม จะมีค่าใช้จ่ายตามที่ระบุในใบเสนอราคาครับ”
ข้อที่ 15: จัดการความคาดหวังด้วย “เวลาทำการ” และ “คิวงาน”
ข้อนี้คือการทำให้ทุกอย่างเป็นระบบครับ กำหนดเวลาและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจนสำหรับเรื่องต่างๆ เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าควรคาดหวังการตอบกลับจากคุณเมื่อไหร่ และเรื่องแบบไหนควรติดต่อผ่านช่องทางใด มันคือการสร้างความเกรงใจในเวลาและพลังงานของคุณอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
ตัวอย่าง: ใส่ไว้ในลายเซ็นอีเมล หรือสถานะออนไลน์ของคุณ
“เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 9:00 – 17:00 น. (ตอบอีเมลภายใน 24 ชม.) หากมีกรณีเร่งด่วน กรุณาติดต่อทางโทรศัพท์เท่านั้น”
บทสรุปและสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้
เราได้เดินทางกันมาครบทั้ง 15 ข้อแล้วนะครับ ตั้งแต่การปรับฐานภายในด้วยความนิ่งและภาษากาย การใช้คำพูดและความเงียบอย่างชาญฉลาด ไปจนถึงการสร้างขอบเขตและกติกาที่ชัดเจน
ผมจะขอสรุปทั้ง 15 ข้อให้ฟังอีกครั้งแบบรวบรัด เพื่อให้คุณจดจำได้ง่ายๆ ครับ
นิ่งคือการคุมเกม: ใช้ความเงียบก่อนตอบเสมอ
มองตาให้มั่นคง: สื่อสารความมั่นใจและความจริงใจ
เสียงต่ำ ช้า ชัด: คือเสียงของความน่าเชื่อถือ
เว้นระยะ ยืนมั่นคง: ประกาศขอบเขตที่มองไม่เห็น
หัวเราะเท่าที่เหมาะ: อย่าใช้เสียงหัวเราะลดทอนคุณค่าคำพูด
ใช้ความเงียบประเมิน: หยุดพฤติกรรมรับปากอัตโนมัติ
ไม่ขอ ไม่ง้อ ไม่รีบ: คนที่นิ่งกว่าคือผู้คุมสถานการณ์
ไม่อธิบายเกินจำเป็น: เหตุผลที่สั้นคือเหตุผลที่ทรงพลัง
คำพูดสั้น ตรงจุด: ความชัดเจนคือความเมตตา
โชว์ผลลัพธ์ ไม่ใช่ขั้นตอน: สร้างความน่าเชื่อถือแบบมืออาชีพ
ใจดีแต่มีเส้น: ความช่วยเหลือของคุณมีค่าและมีเงื่อนไข
หายไปให้เป็น: สอนให้คนอื่นเคารพเวลาโฟกัสของคุณ
พูด "ไม่" อย่างสุภาพ: ขอบคุณ-ปฏิเสธ-ชี้ทางเลือก
ตั้งกติกาก่อนเริ่ม: ป้องกันปัญหาดีกว่าแก้ไข
เวลาทำการและคิวงานชัดเจน: สร้างระบบให้คนอื่นปฏิบัติตาม
หากตอนนี้คุณรู้สึกว่า “พอแล้วกับการเป็นคนดีที่ถูกเอาเปรียบ” ผมไม่ได้ขอให้คุณนำทั้ง 15 ข้อนี้ไปใช้พร้อมกันในวันเดียวนะครับ นั่นมันจะทำให้คุณเครียดเกินไป
การบ้านสำหรับวันนี้: ให้คุณเลือกมาเพียง ข้อเดียว ที่คุณรู้สึกว่าทำได้ง่ายที่สุดและตรงกับสถานการณ์ของคุณที่สุดในตอนนี้ แล้วลองนำไปใช้ดูครับ อาจจะเป็นแค่การฝึกหายใจก่อนตอบ หรือการพูด “ไม่” กับเรื่องเล็กๆ สักเรื่อง
พลังแห่งความนิ่งและการเคารพตัวเองไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียวครับ มันคือการค่อยๆ ต่ออิฐทีละก้อนจนกลายเป็นกำแพงที่แข็งแกร่ง กำแพงที่จะปกป้องเวลา พลังงาน และคุณค่าในตัวคุณ โดยที่คุณไม่ต้องทะเลาะกับใครเลย
ถ้าเนื้อหานี้มีคุณค่ากับชีวิตคุณ ผมฝากรบกวนช่วยกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจ กดแชร์เพื่อส่งต่อพลังนี้ให้กับคนที่คุณรักและห่วงใย และกด Subscribe เพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกันอีกในเนื้อหาดีๆ แบบนี้
และผมอยากจะชวนทุกคนคุยกันในคอมเมนต์ครับ…
“วันนี้คุณจะเลือกเริ่มจากข้อไหนก่อนครับ?”
ลองพิมพ์บอกผมและเพื่อนๆ คนอื่นหน่อย การประกาศเป้าหมายเล็กๆ ของคุณในที่สาธารณะ จะเป็นพันธสัญญาแรกที่ยอดเยี่ยมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ครับ ผมจะอ่านทุกคอมเมนต์และอาจจะช่วยแนะนำสคริปต์ตอบกลับในสถานการณ์ของคุณให้ด้วย
ในตอนหน้า เราจะมาคุยกันในหัวข้อที่เข้มข้นไม่แพ้กัน นั่นคือ “จิตวิทยารับมือคำวิจารณ์ เปลี่ยนศัตรูให้เป็นเครื่องมือ” อย่าลืมกดกระดิ่งแจ้งเตือนไว้จะได้ไม่พลาดครับ
สำหรับวันนี้ ขอบคุณที่ใช้เวลาร่วมกันครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ