เม้ามอยกับมามูมะ

“ทิ้ง” 10 สิ่งที่ถ่วงคุณไว้ ไม่ให้ไปถึงความสุขและความมั่งคั่งอย่างที่คุณคู่ควร

10 สิ่งที่ถ่วงคุณไว้

สวัสดีครับ… คุณเคยรู้สึกไหมครับว่าชีวิตเราเหมือนกับการแบกเป้ใบใหญ่ขึ้นภูเขา ยิ่งเราพยายามใส่ของดีๆ เข้าไปมากเท่าไหร่ เป้ใบนั้นก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น จนบางครั้งเราเดินต่อไปไม่ไหว

วันนี้จะชวนคุณมาสำรวจสัมภาระในชีวิต และเลือก “ทิ้ง” 10 สิ่งที่ถ่วงคุณไว้ ไม่ให้ไปถึงความสุขและความมั่งคั่งอย่างที่คุณคู่ควร ฟังให้จบนะครับ เพราะบางที สิ่งที่คุณต้องทิ้ง อาจเป็นสิ่งที่คุณกอดไว้แน่นที่สุดโดยไม่รู้ตัว

ข้อที่ 1: ทิ้งหนี้ที่กัดกินชีวิต

เราไม่ได้พูดถึงหนี้ทุกชนิดนะครับ แต่เรากำลังพูดถึง “หนี้บริโภค” หรือหนี้ที่ไม่ได้สร้างเงินเพิ่มให้เราเลย

ลองนึกภาพตามนะครับ… หนี้บัตรเครดิตที่รูดซื้อมือถือรุ่นใหม่ล่าสุด, หนี้ผ่อนสินค้าฟุ่มเฟือยที่ให้ความสุขเราแค่ชั่วคราว, หรือหนี้รถยนต์หรูที่ราคาของมันตกลงทุกวันที่เราขับมันออกจากโชว์รูม หนี้เหล่านี้เปรียบเหมือนรูรั่วในเรือชีวิตของคุณครับ ไม่ว่าคุณจะพยายามวิดน้ำเข้าเรือ (หาเงิน) มากแค่ไหน แต่ถ้ารูรั่วยังอยู่ เรือของคุณก็ไม่มีวันเต็มและอาจล่มได้ในที่สุด

ตัวอย่าง: ผมเคยรู้จักน้องคนหนึ่ง เป็นคนเก่งมาก เงินเดือนสูง แต่เขาใช้ชีวิตเหมือนเศรษฐีตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน เขาซื้อนาฬิกาแพงๆ ขับรถยุโรปเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่เบื้องหลังคือหนี้สินท่วมตัว ทุกสิ้นเดือนเขาจะเครียดมาก ความสุขที่ได้จากวัตถุจางหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงภาระดอกเบี้ยที่กัดกินจิตใจและเงินในกระเป๋า สุดท้ายเขาหมดไฟในการทำงาน เพราะหาเงินมาเท่าไหร่ก็เหมือนเอาไปถมทะเล

ในทางกลับกัน คนที่เข้าใจเกมการเงิน เขาอาจมีหนี้เช่นกัน แต่เป็น “หนี้ที่สร้างสรรค์” เช่น หนี้จากการกู้ซื้อบ้านหลังแรกเพื่ออยู่อาศัย หรือซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า ที่ค่าเช่านั้นสูงกว่าเงินผ่อน… หนี้แบบนี้ไม่ใช่ตัวถ่วง แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรามั่งคั่งเร็วขึ้น

วันนี้ลองกลับไปสำรวจดูครับ มีหนี้ก้อนไหนที่กำลังสูบพลังงานและเงินของคุณอยู่หรือเปล่า การตัดสินใจทิ้งมันไป อาจเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตคุณก็ได้

ข้อที่ 2: ทิ้งความกลัวที่ขังคุณไว้กับที่

ความกลัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ มันคือกลไกป้องกันตัวไม่ให้เราทำอะไรเสี่ยงๆ แต่ในโลกของการสร้างชีวิต ความกลัวที่มากเกินไปก็คือ “กรง” ที่มองไม่เห็น มันขังเราไว้ในพื้นที่ปลอดภัย (Comfort Zone) ที่นับวันจะยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ

กลัวการลงทุนแล้วจะเจ๊ง, กลัวการเริ่มธุรกิจแล้วจะล้มเหลว, กลัวการเปลี่ยนแปลงเพราะไม่คุ้นเคย… ความกลัวเหล่านี้ทำให้เราไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาออกจากจุดเริ่มต้น สุดท้ายเราก็ได้แต่มองดูคนอื่นที่เขากล้าลงมือทำ เดินนำหน้าเราไปไกลเรื่อยๆ

ตัวอย่าง: ผมมีเพื่อนสองคนได้รับมรดกมาพร้อมๆ กัน คนแรกกลัวเงินจะหมดไป เขาจึงฝากเงินทั้งหมดไว้ในธนาคารและไม่กล้าทำอะไรเลย ส่วนคนที่สอง แม้จะกลัวเหมือนกัน แต่เขาแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปศึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนรวมและอสังหาริมทรัพย์ ผ่านไปสิบปี เพื่อนคนแรกเงินต้นยังอยู่เกือบเท่าเดิม แต่ถูกเงินเฟ้อกัดกินจนมูลค่าลดลงไปมาก ส่วนเพื่อนคนที่สอง แม้จะเคยขาดทุนบ้าง แต่พอร์ตการลงทุนของเขากลับเติบโตขึ้นหลายเท่าตัว ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นบทเรียนที่ประเมินค่าไม่ได้

ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่การลงทุนแล้วขาดทุนนะครับ แต่คือการ “ไม่ทำอะไรเลย” แล้วปล่อยให้โอกาสและเวลาผ่านไปอย่างน่าเสียดาย

ข้อที่ 3: ทิ้งคำว่า “เดี๋ยวก่อน” และสารพัดข้อแก้ตัว

“ไม่มีเวลา” “ไม่มีเงินทุน” “ไม่มีความรู้” “รอให้พร้อมกว่านี้ก่อน”… คุณเคยพูดประโยคเหล่านี้กับตัวเองไหมครับ? คำพูดเหล่านี้ฟังดูมีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วมันคือ “ข้อแก้ตัว” ที่เราสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากความกลัวในข้อที่แล้ว

ความจริงคือ ไม่มีใครเคย “พร้อม” ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ “เริ่มทั้งที่ไม่พร้อม”

ไม่มีเงินทุน? ลองเริ่มจากการให้ความรู้คนอื่นผ่านช่องทางออนไลน์สิครับ ใช้ต้นทุนแค่เวลาและความตั้งใจ
ไม่มีเวลา? ลองปิดทีวีหรือลดเวลาเล่นโซเชียลมีเดียลงวันละ 30 นาที แล้วเอามาอ่านหนังสือหรือฟังความรู้ดีๆ คุณจะมีเวลาเพิ่มขึ้นเกือบ 200 ชั่วโมงต่อปี
ไม่มีความรู้? ยุคนี้ความรู้ฟรีมีอยู่ทุกที่ครับ แค่เราเปิดใจที่จะเรียนรู้

ตัวอย่าง: ชายคนหนึ่งอยากมีธุรกิจร้านกาแฟของตัวเอง แต่เขามักจะบ่นว่าไม่มีเงินทุนก้อนใหญ่ ผ่านไป 5 ปี เขาก็ยังคงทำงานประจำและบ่นเรื่องเดิมๆ ในขณะที่อีกคนหนึ่ง เริ่มจากซื้อเมล็ดกาแฟดีๆ มาหัดดริปที่บ้าน แจกเพื่อนชิม รับฟังความคิดเห็น แล้วเริ่มขายออนไลน์เล็กๆ จากเงินทุนไม่กี่พันบาท วันนี้เขามีร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอุ่นเป็นของตัวเองแล้ว… เห็นไหมครับ จุดเริ่มต้นมันต่างกันแค่นิดเดียว คือการ “ลงมือทำ” แทนที่จะ “หาข้อแก้ตัว”

ข้อที่ 4: ทิ้งกรอบความคิดและความเชื่อเก่าๆ

เราเติบโตมากับคำสอนที่ว่า “เรียนสูงๆ จบมาจะได้มีงานดีๆ มั่นคง” ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ แต่มันอาจไม่ใช่หนทางเดียวสู่ความมั่งคั่งในโลกยุคปัจจุบัน

กรอบความคิดที่ว่า “งานประจำคือความปลอดภัยที่สุด” หรือ “การเป็นเจ้าของกิจการเสี่ยงเกินไป” อาจเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งเราไว้ ถ้าเรายังเชื่อว่ารายได้ทางเดียวจากเงินเดือนจะทำให้เรารวยได้ เราก็จะติดอยู่ในสนามแข่งหนูไปตลอดชีวิต ทำงานหนักเพื่อจ่ายบิลไปวันๆ

คนที่มั่งคั่งอย่างแท้จริง เขาไม่ได้มองหาแค่งานที่มั่นคง แต่มองหา “สินทรัพย์” ที่สามารถสร้างเงินให้เขาได้แม้ในยามหลับ เช่น อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า, หุ้นปันผล, ธุรกิจที่วางระบบไว้ดีแล้ว หรือแม้กระทั่งลิขสิทธิ์ทางปัญญา

ลองทบทวนความเชื่อเรื่องการเงินในหัวของคุณดูครับ ความเชื่อไหนที่รับต่อๆ กันมาโดยที่เราไม่เคยตั้งคำถาม ความเชื่อไหนที่กำลังจำกัดศักยภาพของคุณอยู่ การทลายกำแพงความเชื่อเดิมๆ คือก้าวแรกของการมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น

ข้อที่ 5: ทิ้งนิสัยใช้จ่ายตามใจ อยากได้…ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น

หลายคนบอกว่าที่เก็บเงินไม่ได้เพราะรายได้น้อย แต่บ่อยครั้งปัญหาที่แท้จริงคือ “รายจ่ายสูงเกินตัว” ต่างหากครับ

กาแฟแก้วละร้อยกว่าบาททุกเช้า, เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ที่ต้องมี, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เปลี่ยนทุกปีทั้งที่ของเก่ายังใช้ได้ดี… สิ่งเหล่านี้คือ “นักฆ่าความมั่งคั่งเงียบ” มันค่อยๆ ดูดเงินจากกระเป๋าเราไปทีละนิดโดยที่เราไม่รู้ตัว

หลักการง่ายๆ ที่ผมใช้มาตลอดคือ “จ่ายให้ตัวเองก่อน” ทุกครั้งที่เงินเดือนหรือรายได้เข้ามา ผมจะกันเงินส่วนหนึ่งไปเก็บออมหรือลงทุนทันที ส่วนที่เหลือจึงเป็นเงินสำหรับใช้จ่าย วิธีนี้ทำให้เรามั่นใจว่าอนาคตทางการเงินของเราเติบโตขึ้นทุกเดือน

ก่อนจะซื้ออะไร ลองถามตัวเองสักนิดว่า “สิ่งนี้จำเป็นจริงๆ หรือเป็นแค่ความอยาก?” การแยกแยะสองสิ่งนี้ออกจากกันได้ คือจุดเริ่มต้นของวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งครับ

ข้อที่ 6: ทิ้งการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับภาพลวงตาของคนอื่น

ในยุคโซเชียลมีเดีย เราเห็นชีวิตที่สวยหรูของคนอื่นได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว… เพื่อนซื้อรถใหม่, คนรู้จักไปเที่ยวต่างประเทศ, คนดังใช้ของแบรนด์เนม เราเห็นแต่ภาพความสำเร็จด้านเดียวของเขา แล้วเผลอเอากลับมาเปรียบเทียบกับชีวิตทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ของเราที่เต็มไปด้วยปัญหาและความวุ่นวาย

การเปรียบเทียบนี้อันตรายมากครับ มันทำให้เราอยากมีอยากได้เหมือนเขา จนนำไปสู่การใช้จ่ายเกินตัวเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคม โดยที่เราไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังภาพสวยๆ เหล่านั้น เขาอาจจะกำลังผ่อนอย่างหนัก หรือมีหนี้สินมากมายก็ได้

จำไว้นะครับ คนที่เราควรแข่งขันด้วยมีเพียงคนเดียว คือ “ตัวเราเองในเมื่อวาน” วันนี้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อวานไหม? เรามีวินัยดีขึ้นกว่าเมื่อวานไหม? เราเข้าใกล้เป้าหมายของเรามากกว่าเมื่อวานหรือเปล่า? นี่คือการแข่งขันที่แท้จริงและมีความหมายที่สุดครับ

ข้อที่ 7: ทิ้งสังคมและคนรอบข้างที่ฉุดรั้งพลังงานของคุณ

มีคำกล่าวว่า “เราคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด” นี่คือเรื่องจริงที่น่าขนลุกครับ

ถ้าคุณอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่มองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา, ชวนคุณไปสังสรรค์ใช้เงินฟุ่มเฟือยทุกสุดสัปดาห์, หรือคอยพูดดูถูกความฝันของคุณว่ามันเป็นไปไม่ได้… ไม่ช้าก็เร็ว พลังงานลบเหล่านั้นจะซึมซับเข้ามาในตัวคุณโดยไม่รู้ตัว

การเลือกคบคนไม่ใช่การหยิ่งยโสหรือทิ้งเพื่อนเก่านะครับ แต่มันคือการ “ปกป้องพลังงานชีวิต” ของเรา จงพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ผู้คนพูดถึงความฝัน, โอกาส, การเรียนรู้ และการเติบโต อยู่กับคนที่เมื่อคุณเล่าเป้าหมายให้ฟัง เขาจะถามกลับมาว่า “มีอะไรให้เราช่วยได้บ้าง?” สังคมแบบนี้จะช่วยผลักดันให้คุณบินได้สูงขึ้นและเร็วขึ้นครับ

ข้อที่ 8: ทิ้งการใช้เวลาไปกับเรื่องที่ไร้แก่นสาร

ในบรรดาสินทรัพย์ทั้งหมด “เวลา” คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดและยุติธรรมที่สุด ทุกคนได้รับมาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมงต่อวัน แต่สิ่งที่เราทำใน 24 ชั่วโมงนั้น คือสิ่งที่กำหนดอนาคตที่แตกต่างกัน

การไถหน้าจอดูคลิปสั้นๆ ไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมง, การติดตามดราม่าของคนอื่น, หรือการเล่นเกมจนลืมเวลา… กิจกรรมเหล่านี้ให้ความสุขผิวเผินแค่ชั่วครู่ แต่ไม่ได้สร้างคุณค่าหรือทักษะใดๆ ให้กับชีวิตเราในระยะยาวเลย

คนที่จะมั่งคั่ง เขาจะ “ลงทุน” เวลาของเขาอย่างชาญฉลาด เขาใช้เวลาอ่านหนังสือ, ฟังพอดแคสต์, เข้าคอร์สเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ, ออกกำลังกาย, หรือสร้างความสัมพันธ์กับคนเก่งๆ เพราะเขารู้ดีว่า เวลาที่เสียไป ก็เหมือนกับเงินที่เสียไป และมันไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

ข้อที่ 9: ทิ้งความคิดแบบ “หาเช้ากินค่ำ” เอาแค่รอดไปวันๆ

“ชีวิตมันสั้น ใช้ๆ ไปเถอะ” เป็นคำพูดที่อันตรายมากครับ เพราะมันทำให้เรามองเห็นแค่ความสุขระยะสั้นตรงหน้า โดยหลงลืมไปว่า “อนาคต” นั้นยาวนานกว่าที่เราคิด

การวางแผนระยะยาว ไม่ใช่การปฏิเสธความสุขในปัจจุบันนะครับ แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างความสุขวันนี้กับความมั่นคงในวันหน้า คนที่คิดยาวจะเข้าใจเรื่อง “พลังของดอกเบเบี้ยทบต้น” ไม่ใช่แค่ในการลงทุน แต่ในทุกเรื่องของชีวิต การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ วันนี้ อาจสร้างรายได้มหาศาลในอีก 5 ปีข้างหน้า การเริ่มออมเงินเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่วันนี้ จะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ให้ความอุ่นใจกับเราในวัยเกษียณ

ลองถามตัวเองดูครับ… คุณอยากจะเหนื่อยหน่อยในวันนี้เพื่อสบายไปทั้งชีวิต หรืออยากจะสบายแค่วันนี้แล้วไปลำบากตอนแก่ที่เรี่ยวแรงถดถอย? คำตอบอยู่ในใจของคุณแล้ว

ข้อที่ 10: ทิ้งความหยิ่งทะนงและหยุดที่จะเรียนรู้

โลกหมุนไปข้างหน้าทุกวินาทีครับ วันนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น มีรูปแบบการลงทุนใหม่ๆ ที่เราไม่เคยได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ AI, สินทรัพย์ดิจิทัล, หรือรูปแบบธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน

คนที่คิดว่า “ฉันรู้ดีอยู่แล้ว” หรือ “เรื่องพวกนี้มันยากเกินไปสำหรับฉัน” คือคนที่กำลังปิดประตูสู่โอกาสบานใหญ่ด้วยมือของตัวเอง ความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคตนะครับ

ความมั่งคั่งจะวิ่งเข้าหาคนที่ “ถ่อมตัว” และ “ใฝ่รู้” อยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ประสบความสำเร็จแค่ไหน จงทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะทุกความรู้ใหม่ คือโอกาสใหม่ในการสร้างความมั่งคั่งให้ชีวิต

ฟังมาถึงตรงนี้แล้ว ลองหลับตาแล้วถามตัวเองเบาๆ สิครับว่า… ในเป้ชีวิตที่คุณแบกอยู่ทุกวันนี้ มีสัมภาระชิ้นไหนที่คุณควรจะ “ทิ้ง” มันไปได้แล้วบ้าง?

อาจจะเป็นหนี้สักก้อน, ความกลัวบางอย่าง, ข้อแก้ตัวเดิมๆ, หรือสังคมที่คอยฉุดรั้งคุณไว้…

การทิ้งไม่ใช่การสูญเสียนะครับ แต่คือการ “สร้างพื้นที่ว่าง” ครับ เมื่อคุณทิ้งสิ่งเก่าที่ไม่มีประโยชน์ออกไป คุณก็จะมีพื้นที่ว่างสำหรับรับโอกาสใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ และผู้คนดีๆ ที่จะนำพาสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของคุณ

ชีวิตจะเบาขึ้นทันทีที่คุณกล้าปล่อยวาง… และเมื่อชีวิตเบาขึ้น คุณก็จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและมีความสุขมากขึ้น

ผมอยากชวนทุกท่านมาสร้างพลังบวกด้วยกันครับ ใครที่ฟังแล้วตัดสินใจได้ว่าอยากจะทิ้งอะไร ลองพิมพ์ในคอมเมนต์ว่า “ขอบคุณ, ทิ้งแล้วรวย!” แล้วตามด้วยสิ่งที่คุณจะทิ้ง เช่น “ขอบคุณ, ทิ้งแล้วรวย! ผมจะทิ้งนิสัยผัดวันประกันพรุ่งครับ” หรือ “ขอบคุณ, ทิ้งแล้วรวย! หนูจะทิ้งความกลัวที่จะเริ่มลงทุนค่ะ”

การประกาศเจตนารมณ์ออกมา คือการตอกย้ำกับตัวเอง และยังเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ ที่ได้อ่านอีกด้วยครับ

สุดท้ายนี้ หากแนวคิดการสร้างความมั่งคั่งจากการ “ทิ้ง” นี้ สั่นสะเทือนอะไรบางอย่างในใจคุณ และคุณเชื่อว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงคือความสุขสงบจากภายใน… ก็อย่าลืมกดติดตามช่องของเราไว้นะครับ เพื่อที่เราจะได้มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ และเติบโตไปด้วยกัน

ในคลิปหน้า เราจะมาคุยกันว่า… หลังจากที่เรา “ทิ้ง” ของเก่าไปแล้ว เราควรจะ “เติม” นิสัยแรกที่ดีที่สุดอะไรเข้ามาในชีวิต เพื่อเร่งสปีดความสำเร็จของคุณ

ขอบคุณที่ใช้เวลาร่วมกันในวันนี้ แล้วพบกันใหม่คลิปหน้า สวัสดีครับ

You may also like

ทดสอบ lemon8
เม้ามอยกับมามูมะ

เมื่อลองลงบทความวันพระ กับ บทความเลขเด็ดจากเชงเม้งเดย์

เมื่อมามูมะบุก lemon8 และทดลองลงโพสต์ใกล้ๆกัน โดยบทความแรกจะเกี่ยวกับวันพระ ทำไมต้องมีวันพระ รวมไปถึง การเล่าเรื่องต่างๆ จนมาจบลงที่ คำทำนายในวันนี้ว่า วันพระวันนี้จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้างรวมถึงให้เสี่ยงดวงว่าทำบุญอะไรดีในวันนี้ และ บทความที่สองจะเกี่ยวกับตัวเลขเด็ด เลขจากประทัดที่มามูมะได้เลขมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ในเพจมามูมะครับ และที่แอปบทมือถืออย่าง lemon8 รูปฝั่งซ้ายจะเป็นตัวเลข 2800+ ยอดคนดู สำหรับบทความที่สอง
ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย
เม้ามอยกับมามูมะ

วันดี วันร้าย ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย

การตัดผมถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องตัดอยู่เป็นประจำแต่ในวัฒนธรรมไทยกลับมองว่าเป็นพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่สำคัญ เนื่องมาจากความเชื่อและขนบธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่การเลือกวันและเวลาในการตัดผม การเลือกใช้เครื่องมือตัดผม ตลอดจนวิธีการจัดการกับเส้นผมที่ตัดออกมา ซึ่งล้วนมีจุดประสงค์เพื่อนำโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตนและครอบครัว โดยในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการตัดผมแบบไทยๆ ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต ซึ่งจะทำให้คุณได้ซาบซึ้งถึงรากเหง้าและสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของคนไทย เพื่อให้ไม่เสียเวลาของคนอ่านมากนัก เรามาดูกันว่า จะมีวันดี วันร้าย ตรงตามที่คุณรู้มาบ้างไหม ลองอ่านกันดูครับผม ในสมัยก่อนชาวบ้านจะเชื่อว่า การตัดผมในวันและเวลาหนึ่งๆ