เม้ามอยกับมามูมะ

เพื่อนจอมปลอม 4 ประเภทที่แฝงตัวอยู่ในชีวิต

เพื่อนจอมปลอม 4 ประเภท

ก่อนที่เราจะเริ่มเรื่องในวันนี้ ผมอยากให้คุณลองถามตัวเองสักนิด… คุณเคยรู้สึกไหมว่า บางครั้งคนที่คุณเรียกว่า “เพื่อน” กลับเป็นคนที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยใจ… รู้สึกเหมือนถูกสูบพลัง หรือทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างไหมครับ?

ถ้าคำตอบคือใช่… ต่อจากนี้ คุณจะได้เรียนรู้หลักธรรมที่คมคายและใช้ได้จริงของพระพุทธเจ้า ที่จะช่วยให้คุณมี “ดวงตา” ที่มองเห็นเพื่อนจอมปลอม 4 ประเภทที่แฝงตัวอยู่ในชีวิต และที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณจะรู้วิธีจัดการและเลือกคบคนที่ใช่ เพื่อสร้างชีวิตที่เจริญก้าวหน้าและสงบสุขอย่างแท้จริงครับ

เราทุกคนต่างรู้ดีว่า “เพื่อน” คือส่วนสำคัญของชีวิต เพื่อนที่ดีเปรียบเสมือนของขวัญ เป็นทั้งแรงผลักดัน เป็นกำลังใจ เป็นกระจกสะท้อนตัวเรา แต่ในทางกลับกัน… เพื่อนที่ไม่ดี ก็เปรียบเสมือนยาพิษที่ค่อยๆ ซึมลึก ทำลายชีวิตเราทีละน้อยโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว

เมื่อกว่า 2,500 ปีก่อน พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีปัญญาล้ำเลิศ ได้ทรงจำแนก “มิตรเทียม” หรือ “เพื่อนจอมปลอม” ที่เราควรหลีกหนีให้ไกล เพื่อป้องกันความทุกข์และความเสื่อมที่จะตามมา ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องล้าสมัยนะครับ แต่เป็นสัจธรรมที่ยังคงจริงแท้ แม้ในโลกยุคดิจิทัลแบบนี้ วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันทีละประเภท พร้อมตัวอย่างที่คุณอาจจะร้อง… “เอ๊ะ! นี่มันคนใกล้ตัวเราเลยนี่นา”
มิตรประเภทที่ 1: มิตรปอกลอก (เพื่อนผู้หวังแต่จะได้)

ประเภทแรกนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเจอกันมาบ้างนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกคนประเภทนี้ว่า “มิตรปอกลอก” หรือถ้าจะให้พูดภาษาชาวบ้านก็คือ คนที่คบเราเพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น

หัวใจของคนประเภทนี้ ไม่ได้มีความรัก ความจริงใจ หรือความปรารถนาดีต่อเราเลยครับ แต่เขามองเราเป็นเพียง “เครื่องมือ” เป็น “สะพาน” หรือเป็น “แหล่งทรัพยากร” ที่จะทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ

ลักษณะเด่นๆ ของมิตรปอกลอก คือ:

คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว: เขาจะคิดเสมอว่า "คบกับคนนี้แล้วฉันจะได้อะไร" ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สิ่งของ คอนเนคชัน หรือแม้กระทั่งหน้าตาทางสังคม

อยู่ใกล้เมื่อเรามี... และหนีหายเมื่อเราหมด: สังเกตง่ายมากครับ ตอนเรามีตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ มีเงินทอง เขจะวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเราเสมอ โทรหาบ่อย ชวนไปไหนมาไหนตลอด แต่พอวันไหนเราตกงาน เรามีปัญหาทางการเงิน หรือหมดอำนาจวาสนา... คนเหล่านี้จะเป็นคนแรกๆ ที่หายไปจากชีวิตเราเลยครับ

ให้ของน้อย... แต่หวังผลตอบแทนมาก: บางทีเขาอาจจะลงทุนกับเราบ้างนะครับ ซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงข้าวสักมื้อ แต่การลงทุนของเขานั้นมีเป้าหมายเสมอ เขาหวังผลตอบแทนที่ใหญ่กว่านั้นหลายเท่าตัว มันคือการลงทุน ไม่ใช่การให้ด้วยใจจริง

ตัวอย่างในชีวิตจริง:

เพื่อนที่ทักมาเฉพาะตอนจะยืมเงิน หรือตอนมีเรื่องเดือดร้อนให้เราช่วย พอเราช่วยเสร็จ ก็เงียบหายไป... จนกว่าจะมียอดเงินใหม่ที่ต้องการ

เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาตีสนิท พูดจาดีกับเราเป็นพิเศษ เพียงเพราะต้องการให้เราช่วยทำงานของเขา หรือต้องการใช้เส้นสายของเราเพื่อเลื่อนตำแหน่ง

หรือแม้กระทั่งในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น คือ "เพื่อนดูดพลัง" ที่โทรมาหาเราทีไร ก็มีแต่เรื่องลบๆ มาปรับทุกข์ให้เราฟังเป็นชั่วโมงๆ แต่พอเรามีเรื่องอยากระบายบ้าง เขากลับบอกว่าไม่ว่าง หรือรีบวางสายทันที เขาใช้เราเป็นถังขยะทางอารมณ์ โดยไม่เคยคิดจะเยียวยาเรากลับเลย

ข้อคิดและวิธีรับมือ:
มิตรประเภทนี้จะทำให้เราสูญเสียทั้งทรัพย์สิน เวลา และพลังใจครับ วิธีที่ดีที่สุดคือ “การสร้างขอบเขต” เรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น ถ้าเขาขอในสิ่งที่เราให้ไม่ได้หรือไม่เต็มใจ ก็ต้องกล้าที่จะพูดว่า “ไม่” ถ้าเขาหายไปเพราะคำปฏิเสธของเรา ก็จงดีใจเถอะครับว่า คุณได้กรองคนที่ไม่จริงใจออกไปจากชีวิตแล้วหนึ่งคน
มิตรประเภทที่ 2: มิตรดีแต่พูด (เพื่อนลมปาก)

ประเภทที่สองนี้ เจอได้บ่อยไม่แพ้กันเลยครับ คือ “มิตรดีแต่พูด” คนประเภทนี้จะเก่งเรื่องการใช้คำพูดมากครับ ปากหวาน พูดจาสวยหรู สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนดี มีน้ำใจ พร้อมช่วยเหลือเสมอ แต่… ทั้งหมดนั้นมีอยู่แค่ในลมปาก ไม่เคยมีการกระทำจริงมารองรับ

ลักษณะเด่นๆ ของมิตรดีแต่พูด คือ:

รับปากส่งๆ แต่ไม่เคยทำ: เวลาเรามีปัญหา เขาจะเป็นคนแรกๆ ที่พูดว่า "สู้ๆ นะเพื่อน" "มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะ" แต่คำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงการแสดงความเห็นใจตามมารยาท เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เขาจะมีข้ออ้างสารพัด เช่น "โอ๊ย พอดีไม่ว่างเลย" หรือ "ช่วงนี้ยุ่งมาก"

ชอบอ้างอดีต แต่ไม่ทำปัจจุบัน: เขาอาจจะพูดว่า "จำได้ไหม ตอนนั้นเรายังช่วยกันเลย" เพื่อทำให้เรารู้สึกดี แต่พอถึงเวลาที่ต้องลงมือทำในปัจจุบัน เขาก็จะหายตัวไป

คำพูดสวยหรู แต่ไร้ความรับผิดชอบ: เขาสามารถให้คำแนะนำที่ดูดีได้เสมอ แต่คำแนะนำนั้นมักจะทำได้ยาก หรือตัวเขาเองก็ไม่เคยทำ เขาเก่งแต่จะวิจารณ์ แต่ไม่เคยลงมาคลุกคลีแก้ปัญหากับเรา

ตัวอย่างในชีวิตจริง:

เพื่อนที่บอกว่า "ถ้าตกงานบอกนะ เดี๋ยวช่วยหาให้" แต่พอเราตกงานจริงๆ แล้วติดต่อไป เขาก็แค่ส่งลิงก์สมัครงานทั่วไปมาให้ โดยไม่ได้ช่วยอย่างจริงจังตามที่เคยพูดไว้

ในวงธุรกิจ คนที่พูดในที่ประชุมอย่างสวยหรูว่า "โปรเจกต์นี้ผมทุ่มเทเต็มที่" แต่พอถึงเวลาทำงานจริง กลับโยนงานให้คนอื่นทำทั้งหมด

ญาติพี่น้องที่พูดเสมอว่า "เราครอบครัวเดียวกัน ต้องช่วยกัน" แต่เวลาที่ครอบครัวเราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ กลับติดต่อไม่ได้ หรืออ้างความจำเป็นร้อยแปด

ข้อคิดและวิธีรับมือ:
พระพุทธเจ้าสอนให้เราดูคนที่ “การกระทำ” ไม่ใช่ “คำพูด” ครับ กับคนประเภทนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือ “ลดความคาดหวัง” ลงครับ รับฟังคำพูดของเขาได้ แต่อย่าเอามาเป็นที่พึ่งทางใจ และอย่าฝากความหวังไว้กับคำสัญญาของเขา ให้เชื่อมั่นในการกระทำที่จับต้องได้เท่านั้นพอ
มิตรประเภทที่ 3: มิตรหัวประจบ (เพื่อนผู้เห็นชอบในทุกเรื่อง)

มาถึงประเภทที่สาม ซึ่งอันตรายแบบเงียบๆ นะครับ นั่นคือ “มิตรหัวประจบ” คนประเภทนี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดีมาก เพราะเขาไม่เคยขัดใจเราเลย เราทำอะไรก็ “ดี” เราพูดอะไรก็ “ใช่” ไปหมด แต่เบื้องหลังคำชื่นชมเหล่านั้น คือความไม่จริงใจ และอาจเป็นหลุมพรางที่นำเราไปสู่ความพินาศได้

ลักษณะเด่นๆ ของมิตรหัวประจบ คือ:

คล้อยตามในเรื่องที่ผิด: นี่คือข้อที่อันตรายที่สุดครับ เมื่อเรากำลังจะตัดสินใจผิดพลาด หรือทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อนแท้จะกล้าเตือน แต่เพื่อนหัวประจบจะยุยงส่งเสริมว่า "ทำไปเลย ดีแล้ว!" เพราะเขากลัวว่าถ้าขัดใจเราแล้วจะเสียผลประโยชน์

ต่อหน้าสรรเสริญ ลับหลังนินทา: คนประเภทนี้มักจะไม่จริงใจครับ ต่อหน้าเราเขาจะยกย่องเราสารพัด แต่เมื่อเราคล้อยหลัง เขาก็อาจจะนำเรื่องของเราไปนินทา หรือหัวเราะเยาะการตัดสินใจของเรา

ไม่เคยให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์: เพราะเป้าหมายของเขาคือการเอาใจเรา เขาจึงไม่เคยให้มุมมองที่แตกต่าง หรือชี้ให้เห็นข้อเสียในแผนการของเราเลย ซึ่งนั่นทำให้เราติดอยู่ใน "ห้องเสียงสะท้อน" (Echo Chamber) ที่มีแต่คนเห็นด้วย และปิดกั้นการเติบโตของเรา

ตัวอย่างในชีวิตจริง:

สมมติว่าเรากำลังใช้เงินเกินตัว ซื้อของแบรนด์เนมทั้งที่การเงินติดลบ เพื่อนแท้จะเตือนว่า "เฮ้ย ระวังหน่อยนะ" แต่มิตรหัวประจบจะบอกว่า "ซื้อเลย สวยมาก เหมาะกับเธอที่สุด เธอคู่ควรกับสิ่งนี้!"

เจ้านายที่มีลูกน้องเป็นคนประเภทนี้ จะไม่มีทางรู้ข้อบกพร่องของตัวเองเลย เพราะไม่มีใครกล้าเตือน จนอาจนำพาองค์กรไปสู่ความล้มเหลว

เพื่อนที่เห็นเราติดเหล้า หรือเริ่มมีพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่ไม่เคยพูดตักเตือน กลับยังชวนไปดื่ม ไปเที่ยวเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้เราโกรธ

ข้อคิดและวิธีรับมือ:
จงระลึกไว้เสมอว่า “เพื่อนแท้คือกระจก… แต่เพื่อนประจบคือภาพลวงตา” กระจกอาจจะสะท้อนภาพที่ไม่น่าดูบ้าง แต่ก็คือความจริง ส่วนภาพลวงตานั้นสวยงามแต่ไม่เคยมีอยู่จริง ถ้าคุณรู้สึกว่าคนรอบข้างไม่มีใครเคยคัดค้านคุณเลย นั่นอาจเป็นสัญญาณอันตราย ให้ลองเปิดใจรับฟังคนที่กล้าเตือนคุณบ้าง เพราะนั่นอาจเป็นความปรารถนาดีที่แท้จริง
มิตรประเภทที่ 4: มิตรชักชวนในทางเสื่อม (เพื่อนผู้พาลงเหว)

และนี่คือประเภทที่อันตรายที่สุดครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมิตรที่ต้องหนีให้เร็วที่สุด นั่นคือ “มิตรชักชวนไปในทางฉิบหาย” หรือ “ทางเสื่อม”

คนประเภทนี้ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยให้เราดีขึ้นนะครับ แต่เขายังทำงานอย่างแข็งขันเพื่อดึงเราให้ตกต่ำลงไปกับเขาด้วย

ลักษณะเด่นๆ ของมิตรชักชวนในทางเสื่อม คือ:

ทำให้เรื่องผิดศีลธรรมเป็นเรื่องปกติ: เขามักจะชวนเราไปในทางอบายมุข เช่น ชวนดื่มเหล้าเมายาเป็นประจำ ชวนเล่นการพนัน ชวนเที่ยวกลางคืนจนเสียการเสียงาน

ใช้คำพูดกดดันให้เราคล้อยตาม: เวลาชวน เขามักจะใช้จิตวิทยากลุ่มกดดันเรา เช่น "ทำไม ไม่สนุกเลย" "แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกน่า" หรือ "ใครๆ เขาก็ทำกัน" เพื่อทำให้เรารู้สึกผิดหรือแปลกแยกถ้าไม่ทำตาม

ไม่เคยพูดถึงเป้าหมายชีวิตหรืออนาคต: วงสนทนาของเขามักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องความสนุกฉาบฉวย ไม่เคยคุยกันเรื่องการพัฒนาตัวเอง การทำงาน หรือการสร้างอนาคตที่ดีเลย

ตัวอย่างในชีวิตจริง:

มีข่าวน่าสลดใจมากมายที่เด็กวัยรุ่นเสียอนาคต เพราะคบเพื่อนที่ชวนไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือก่อเหตุทะเลาะวิวาท

พนักงานบริษัทที่หมดตัว กลายเป็นหนี้สินรุงรัง เพราะคบเพื่อนที่ชวนไปเล่นพนันออนไลน์ จากที่เล่นเพื่อความสนุก ก็กลายเป็นความโลภจนถอนตัวไม่ขึ้น

คนที่ชีวิตคู่พังทลาย เพราะมีเพื่อนที่คอยชักจูงให้ไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย โดยบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย

ข้อคิดและวิธีรับมือ:
สำหรับมิตรประเภทนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้แค่หลีกเลี่ยงนะครับ แต่ท่านใช้คำว่า “จงเว้นเสียให้ห่างไกล” เหมือนเราเห็นงูพิษ ก็ต้องรีบหนีโดยไม่ต้องคิดเลย ชีวิตของเรามีค่าเกินกว่าจะเอาไปเสี่ยงกับคนที่จะพาเราไปสู่ความพินาศ การตัดคนเหล่านี้ออกจากชีวิต ไม่ใช่การใจร้ายนะครับ แต่มันคือการ “รักตัวเอง” และรับผิดชอบต่ออนาคตของตัวเราเอง
บทสรุปและข้อคิดเพื่อนำไปใช้

ท่านผู้ฟังครับ… มิตรเทียมทั้ง 4 ประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น มิตรปอกลอก, มิตรดีแต่พูด, มิตรหัวประจบ, และมิตรชักชวนในทางเสื่อม ล้วนเป็น “โจร” ที่ปล้นสิ่งล้ำค่าไปจากชีวิตเราครับ… เขาปล้นทรัพย์สิน ปล้นเวลา ปล้นพลังใจ และที่อันตรายที่สุดคือ ปล้นอนาคตที่ดีของเราไป

การเลือกคบคนจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นการ “เลือกทิศทางชีวิต” ของเราเอง เพื่อนดีที่เรียกว่า “กัลยาณมิตร” จะคอยชี้ทางสว่าง เตือนเมื่อเราพลาด พลักดันเมื่อเราท้อ และยินดีเมื่อเราสำเร็จ

ผมอยากจะเชิญชวนทุกท่านลองใช้เวลาเงียบๆ สักครู่ ลองทบทวนดูว่าคนรอบตัวเรา มีใครเข้าข่ายเพื่อนจอมปลอมเหล่านี้บ้างหรือไม่ และตัวเราเอง เผลอไปทำหน้าที่เป็นมิตรเทียมให้กับใครอยู่หรือเปล่า…

การรู้จักปล่อยวางและเดินออกจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ คือการเปิดประตูต้อนรับสิ่งดีๆ และกัลยาณมิตรที่จะเข้ามาในชีวิตเราครับ

เอาล่ะครับ… สำหรับวันนี้ ผมหวังว่าหลักธรรมเรื่องมิตร 4 ประเภทนี้ จะเป็นประโยชน์และเป็นเหมือนแสงสว่างเล็กๆ ที่ช่วยให้ทุกท่านได้แนวทางในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิตนะครับ

หากท่านใดฟังแล้วรู้สึกว่า “ใช่เลย” หรือได้ข้อคิดดีๆ กลับไป ผมขอเชิญชวนร่วมกันพิมพ์คำว่า “ขอเลือกคบกัลยาณมิตร” ในช่องคอมเมนต์ด้านล่าง เพื่อเป็นกำลังใจให้กันและกันในการสร้างวงล้อมแห่งความดีนะครับ และมาร่วมอนุโมทนา “สาธุ” ให้กับปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา

You may also like

ทดสอบ lemon8
เม้ามอยกับมามูมะ

เมื่อลองลงบทความวันพระ กับ บทความเลขเด็ดจากเชงเม้งเดย์

เมื่อมามูมะบุก lemon8 และทดลองลงโพสต์ใกล้ๆกัน โดยบทความแรกจะเกี่ยวกับวันพระ ทำไมต้องมีวันพระ รวมไปถึง การเล่าเรื่องต่างๆ จนมาจบลงที่ คำทำนายในวันนี้ว่า วันพระวันนี้จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้างรวมถึงให้เสี่ยงดวงว่าทำบุญอะไรดีในวันนี้ และ บทความที่สองจะเกี่ยวกับตัวเลขเด็ด เลขจากประทัดที่มามูมะได้เลขมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ในเพจมามูมะครับ และที่แอปบทมือถืออย่าง lemon8 รูปฝั่งซ้ายจะเป็นตัวเลข 2800+ ยอดคนดู สำหรับบทความที่สอง
ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย
เม้ามอยกับมามูมะ

วันดี วันร้าย ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมในวัฒนธรรมไทย

การตัดผมถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องตัดอยู่เป็นประจำแต่ในวัฒนธรรมไทยกลับมองว่าเป็นพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่สำคัญ เนื่องมาจากความเชื่อและขนบธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่การเลือกวันและเวลาในการตัดผม การเลือกใช้เครื่องมือตัดผม ตลอดจนวิธีการจัดการกับเส้นผมที่ตัดออกมา ซึ่งล้วนมีจุดประสงค์เพื่อนำโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตนและครอบครัว โดยในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการตัดผมแบบไทยๆ ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต ซึ่งจะทำให้คุณได้ซาบซึ้งถึงรากเหง้าและสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของคนไทย เพื่อให้ไม่เสียเวลาของคนอ่านมากนัก เรามาดูกันว่า จะมีวันดี วันร้าย ตรงตามที่คุณรู้มาบ้างไหม ลองอ่านกันดูครับผม ในสมัยก่อนชาวบ้านจะเชื่อว่า การตัดผมในวันและเวลาหนึ่งๆ