สวัสดีครับ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ช่องของเราอีกครั้ง พื้นที่สำหรับการพัฒนาชีวิตจากภายในสู่ภายนอกก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักในวันนี้ ผมอยากให้คุณลองถามตัวเองสั้นๆ สักสองสามข้อครับ… คุณอยากเป็นคนที่น่าเคารพมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีตำแหน่งใหญ่โตใช่หรือไม่? คุณอยากสร้างเสน่ห์และความน่าเชื่อถือที่มาจากเนื้อแท้ข้างใน ไม่ใช่จากเปลือกนอกใช่ไหม? ถ้าใช่… ตอนนี้คือคำตอบของคุณครับ เพราะวันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีสร้าง “บารมี” หรือพลังแห่งความน่านับถือให้เกิดขึ้นได้ด้วยนิสัยในชีวิตประจำวันของเราเอง คุณเคยสังเกตไหมครับ… ว่ามีคนบางประเภท ที่เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องประชุม หรือในวงสนทนา… ยังไม่ทันได้เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไป เรากลับรู้สึกถึงพลังงานที่สงบนิ่งและน่าเกรงขามอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้สวมใส่นาฬิการาคาแพง ไม่ได้ขับรถหรู หรือมีตำแหน่งใหญ่โตอะไรเลย
พลังงานนั้น… หลายคนเรียกว่า “บารมี”
แต่บารมีคืออะไรกันแน่? มันเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนสามารถสร้างขึ้นเองได้?
คำว่า “บารมี” ในภาษาไทยเราใช้กันกว้างมากครับ บางครั้งหมายถึง อำนาจวาสนา ความน่าเกรงขาม บางครั้งหมายถึงคุณงามความดีที่สั่งสมมา แต่ในทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นแก่นแท้ของเรื่องนี้ บารมีคือ “คุณธรรมที่ทำให้จิตใจสมบูรณ์” เป็นกำลังของจิตใจที่จะพาเราข้ามพ้นจากความทุกข์ไปสู่ความสุขที่แท้จริง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้เวลาสั่งสมบารมีเหล่านี้ยาวนานถึง 4 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ไม่ใช่ด้วยการนั่งเฉยๆ แต่ผ่านการลงมือทำจริงในชีวิต ผ่านการให้ การเสียสละ ความอดทน และการให้อภัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วเราในฐานะคนธรรมดา จะเริ่มสร้างบารมีในยุคนี้ได้อย่างไร? คำตอบคือ… ได้แน่นอนครับ และไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะบารมีเกิดจาก “นิสัย” ที่เราฝึกฝนในทุกๆ วัน
วันนี้ผมจะแบ่งปันเรื่องราวออกเป็นสองส่วนหลักๆ ส่วนแรกคือ 5 นิสัยที่ทำให้คุณดูมีบารมีในสายตาคนทั่วไป และส่วนที่สองคือการทำความเข้าใจ บารมี 10 ทัศ ซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงในทางพุทธศาสนา
5 นิสัยที่สร้างบารมีในชีวิตประจำวัน
นิสัยข้อที่หนึ่ง: นิ่ง และ ฟังอย่างตั้งใจ
ในโลกที่ทุกคนพยายามจะพูด ทุกคนอยากจะแสดงความคิดเห็น คนที่สามารถ “นิ่ง” และ “ฟัง” อย่างสงบได้ จะกลายเป็นพื้นทีที่ทรงพลังที่สุดในวงสนทนานั้น ความนิ่งไม่ใช่ความเฉยเมย แต่คือการควบคุมตนเอง คือการให้เกียรติผู้พูด และคือการเปิดพื้นที่ให้ปัญญาได้ทำงาน
ลองนึกภาพตามนะครับ ในการประชุมที่ทุกคนแย่งกันพูดเพื่อเสนอไอเดียของตัวเอง กับคนๆ หนึ่งที่นั่งฟังทุกคนอย่างสงบ ไม่ขัดจังหวะ เมื่อทุกคนพูดจบ เขาอาจจะถามคำถามสั้นๆ เพียงหนึ่งคำถาม หรือสรุปประเด็นทั้งหมดในสามประโยค… คนแบบไหนที่คุณรู้สึกว่าน่าเชื่อถือและมีพลังมากกว่ากัน?
บารมีเริ่มต้นจากการควบคุมปากและเปิดหูเปิดใจให้กว้างครับ
นิสัยข้อที่สอง: พูดน้อย แต่ตรงประเด็น และแฝงด้วยเมตตา
ต่อเนื่องจากข้อแรก เมื่อถึงเวลาที่ต้องพูด คนมีบารมีจะไม่พูดเรื่อยเปื่อย แต่คำพูดของเขาจะมีน้ำหนักเหมือนหินที่วางลงในน้ำ แล้วเกิดระลอกคลื่นแห่งความเข้าใจแผ่ออกไป ไม่ใช่เสียงดังเหมือนพายุที่พัดผ่านแล้วทุกอย่างก็พังทลาย
คำว่า “แฝงด้วยเมตตา” นั้นสำคัญมากครับ คุณอาจจะพูดความจริงที่คมกริบ แต่ถ้ามันปราศจากความเมตตา มันจะกลายเป็นอาวุธที่ทิ่มแทงใจคนฟัง แต่ถ้าความจริงเดียวกันนั้นถูกห่อหุ้มด้วยความปรารถนาดี มันจะกลายเป็นยาที่รักษาได้แม้จะขมก็ตาม
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะตำหนิลูกน้องว่า “ทำไมคุณทำงานชุ่ยแบบนี้” ลองเปลี่ยนเป็น “ผมเห็นว่างานยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงนะ มีอะไรให้ผมช่วยไหม หรือติดขัดตรงไหน เล่าให้ผมฟังได้นะ” ผลลัพธ์ที่ได้ต่างกันมหาศาลครับ
นิสัยข้อที่สาม: กล้าให้อภัย ไม่ผูกใจเจ็บ
นี่คือบารมีของจิตใจที่แท้จริงครับ การไม่โกรธ การไม่แบกความแค้นไว้ คือการปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น คนที่แบกความโกรธก็เหมือนคนที่กำถ่านไฟร้อนๆ ไว้ในมือ หวังจะขว้างใส่คนอื่น แต่คนแรกที่เจ็บปวดก็คือตัวเอง
การให้อภัยไม่ใช่การยอมแพ้ ไม่ใช่การบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง แต่คือการตัดสินใจว่า “ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องในอดีตมาทำลายความสงบสุขในปัจจุบันของฉัน” ยิ่งเราให้อภัยคนอื่นได้มากเท่าไหร่ จิตใจเราก็ยิ่งสูงขึ้น และในสายตาคนอื่น คุณจะกลายเป็นที่พึ่งทางใจที่มั่นคง
นิสัยข้อที่สี่: ไม่โอ้อวด แต่ลงมือทำให้เห็น
คนที่มีบารมีอย่างแท้จริง จะให้ “ผลงาน” เป็นสิ่งที่พูดแทนตัวเขา เขาไม่ต้องเสียเวลาป่าวประกาศว่าตัวเองเก่งแค่ไหน ดีแค่ไหน แต่การกระทำของเขาจะแสดงให้เห็นเองโดยอัตโนมัติ
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงวัฒนธรรมไทยอันสวยงามเรื่อง “การปิดทองหลังพระ” ครับ การทำความดีโดยไม่หวังให้ใครเห็น ไม่ต้องการคำชื่นชม แต่ทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ การกระทำเช่นนี้แหละครับที่สั่งสมพลังงานบวกและบารมีอย่างมหาศาล เพราะมันบริสุทธิ์จากความอยากได้หน้า ได้ชื่อเสียง คุณค่าของทองคำไม่ได้ลดลงเลยแม้จะไปติดอยู่ด้านหลังองค์พระปฏิมาฉันใด คุณค่าของความดีก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้จะไม่มีใครเห็นฉันนั้น นี่คือแก่นแท้ของความหนักแน่นครับ
และนิสัยข้อที่ห้า: เป็นผู้ให้ก่อน โดยไม่หวังผลตอบแทน
การให้ในที่นี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เงินทองหรือสิ่งของนะครับ แต่รวมถึงการให้เวลา ให้ความรู้ ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำที่ดี หรือแม้กระทั่งให้รอยยิ้ม
คนที่ให้ด้วยใจที่สะอาดบริสุทธิ์ จะมีพลังงานบวกแผ่ออกมาจากตัวเขาเสมอ เพราะเขาไม่ได้ให้เพื่อ “แลกเปลี่ยน” แต่ให้เพื่อ “แบ่งปัน” ความรู้สึกของผู้รับจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจนั้น และนั่นคือสิ่งที่สร้างความนับถือและความรักให้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
ทำความเข้าใจรากฐานของบารมี – บารมี 10 ทัศ
เอาล่ะครับ… นิสัยทั้ง 5 ที่ผมกล่าวไปนั้น เป็นเหมือนกิ่งก้านสาขาที่คนทั่วไปมองเห็นและสัมผัสได้ แต่รากแก้วที่แท้จริงที่คอยหล่อเลี้ยงให้ต้นไม้แห่งบารมีเติบโตแข็งแรงนั้น คือ “บารมี 10 ทัศ” หรือคุณธรรม 10 ประการในทางพุทธศาสนา ผมจะขออนุญาตอธิบายอย่างย่อๆ เพื่อให้เราเห็นภาพรวมนะครับ
ทานบารมี: คือการให้ การสละออก ไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน แต่คือการสละความเห็นแก่ตัว
ศีลบารมี: คือการรักษากายวาจาให้ปกติ ไม่เบียดเบียนใคร มีความซื่อสัตย์สุจริต
เนกขัมมบารมี: คือการออกจากความลุ่มหลงในวัตถุ ในความสุขทางโลกชั่วคราว ไม่ยึดติดจนเป็นทุกข์
ปัญญาบารมี: คือการหมั่นแสวงหาความรู้ความจริงของชีวิต เข้าใจเหตุและผล
วิริยบารมี: คือความเพียรพยายามอย่างไม่ลดละในการทำความดี ในการทำหน้าที่ของตน
ขันติบารมี: คือความอดทน อดกลั้น ต่อคำดูถูก ต่อความยากลำบาก ต่อความเจ็บปวด
สัจจะบารมี: คือความจริงใจ ความซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น พูดจริงทำจริง
อธิษฐานบารมี: คือความตั้งใจมั่นคงแน่วแน่ในเป้าหมายที่ดีงาม ไม่โลเล
เมตตาบารมี: คือความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีประมาณ
อุเบกขาบารมี: คือการวางใจเป็นกลาง มีสติมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามคำสรรเสริญหรือคำนินทา ไม่ดีใจเสียใจจนเกินไป
ท่านผู้ฟังจะเห็นว่า นิสัย 5 ข้อแรกที่เราคุยกันนั้น ก็คือภาพสะท้อนของบารมี 10 ประการนี้นี่เองครับ
บทสรุปส่งท้าย
หลายคนอาจเคยคิดว่า “บารมี” เป็นเรื่องไกลตัว เป็นของสูง เป็นสิ่งที่ต้องได้มาจากชาติปางก่อน แต่จากการที่เราคุยกันในวันนี้ ผมอยากจะชวนทุกท่านให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ครับ
บารมี… คือสิ่งที่สร้างได้ในทุกลมหายใจเข้าออกของเรา
มันสร้างได้… จากการเลือกที่จะ “ฟัง” แทนที่จะ “พูด”
มันสร้างได้… จากการเลือกที่จะ “ให้อภัย” แทนที่จะ “ผูกใจเจ็บ”
มันสร้างได้… จากการเลือกที่จะ “ลงมือทำ” แทนที่จะ “โอ้อวด”
มันสร้างได้… จากการเลือกที่จะ “มีเมตตา” แม้ในขณะที่เรากำลังไม่พอใจ
ทุกครั้งที่คุณเลือกทำในสิ่งที่ดีงาม แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย และแม้จะไม่มีใครมองเห็น แต่คุณกำลังสะสมบารมีให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว คุณกำลังสร้างรากฐานของจิตใจที่มั่นคง และกำลังขัดเกลาเสน่ห์ที่แท้จริงที่อยู่ภายใน
สำหรับท่านใดที่ฟังแล้วรู้สึกว่าธรรมะข้อนี้เป็นประโยชน์และเห็นจริงด้วยใจ ผมขอเชิญชวนให้ลองพิมพ์คำว่า “สาธุ” หรือ “เข้าใจแล้ว” เข้ามาในช่องคอมเมนต์นะครับ เพื่อเป็นการตอกย้ำกับตัวเอง และเป็นกำลังใจให้เพื่อนผู้ฟังท่านอื่นที่กำลังฝึกฝนไปพร้อมๆ กัน
หากคุณชื่นชอบเนื้อหาในตอนนี้ และอยากให้เราเป็นเพื่อนร่วมเดินทางบนเส้นทางของการพัฒนาชีวิต อย่าลืมกดติดตาม หรือ Subscribe ช่องของเราไว้นะครับ