รวมเรื่องเล่า

เปิด 8 มหานรก กรรมแบบไหน…นำทางไปขุมใด?

8 ขุมนรก ในทางพุทธศาสนา

ก่อนที่เราจะเริ่มเดินทางสู่เรื่องราวในวันนี้ เปิด 8 มหานรก กรรมแบบไหน…นำทางไปขุมใด? ผมขอเวลาท่านสักครู่เพื่อบอกว่า หากท่านฟังคลิปนี้จนจบ ท่านจะไม่เพียงได้ความรู้เรื่องนรกสวรรค์ แต่ท่านจะได้รับเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการออกแบบอนาคตของตัวท่านเอง และท่านจะเข้าใจว่าการกระทำและคำพูดในวันนี้ มีผลต่อภพภูมิต่อไปอย่างไร

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์บอกเราว่า “เมื่อเราตาย ทุกอย่างก็จบสิ้น” หลายคนอาจมองว่าเรื่องนรกเป็นเพียงกุศโลบายของคนโบราณ ที่เอาไว้ขู่เด็กไม่ให้ทำชั่ว หรือเอาไว้ควบคุมสังคม

แต่ในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ได้ทรงเปิดเผยความจริงที่ลึกซึ้งและเป็นวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่านั้น…นั่นคือ “วิทยาศาสตร์ทางจิต” หรือ “กฎแห่งกรรม”

นรก ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าองค์ใดจะพิพากษาหรือส่งเราไปลงโทษ แต่คือสถานะของจิต คือภพภูมิที่จิตของผู้สร้างอกุศลกรรมอันหนักหน่วงได้ปรุงแต่งและดึงดูดตัวเองเข้าไปรับผลกรรมนั้นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครมาบังคับ…ไม่ต้องมีใครมาลากตัวไป

มันเป็นเหมือนเงาที่ติดตามตัวเราไปทุกหนแห่ง กรรมชั่วก็เป็นเสมือนบ่วงที่มองไม่เห็น มันจะร้อยรัดเราเอาไว้เงียบๆ รอคอยแค่วันที่กายสังขารนี้แตกดับ และกำลังของจิตเราอ่อนแรงลง…เมื่อนั้น บ่วงแห่งกรรมจะกระชากเราดิ่งสู่ขุมแห่งความทุกข์ทรมานที่ลึกที่สุดเท่าที่เคยมีมา

วันนี้…เราจะไม่ได้มาเล่าเรื่องเพื่อความน่ากลัว แต่เราจะมาศึกษาแผนที่แห่งกรรม เพื่อให้เรารู้จักหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้น เราจะดำดิ่งไปทำความรู้จัก 8 มหานรก ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ…ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

  1. สัญชีวนรก – ขุมแห่งการฟื้นมาตายซ้ำ

มหานรกขุมแรก มีชื่อว่า สัญชีวนรก แปลว่า นรกที่ไม่มีวันตายสนิท สัตว์นรกในขุมนี้จะถูกนายนิรยบาลผู้มีรูปร่างน่าสะพรึงกลัว ไล่ทุบตีฟาดฟันด้วยอาวุธนานาชนิดจนกระทั่งร่างกายแหลกเหลว สิ้นใจล้มลงไปกองกับพื้น แต่เพียงไม่นาน…ก็จะมีลมกรรมพัดผ่านมา ทำให้ร่างกายฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะถูกทรมานให้ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนอยู่เช่นนี้เป็นระยะเวลายาวนานแสนนาน

ตัวอย่างของกรรมที่นำไปสู่ขุมนี้คืออะไร? คือผู้ที่มีจิตยินดีในการเบียดเบียนชีวิตอื่นเป็นอาจิณ ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ ทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเพื่อเกมกีฬา เพื่อความสนุกสนาน หรือด้วยความโหดเหี้ยมก็ตาม

ลองนึกภาพตามนะครับ… คนที่สนุกกับการทรมานสัตว์เล็กๆ เช่น เอาหนังสติ๊กยิงนก เอาเบ็ดเกี่ยวปากปลาแล้วปล่อยให้มันดิ้นทุรนทุราย หรือแม้แต่ในยุคปัจจุบัน การยุยงส่งเสริมให้คนเกลียดชังกันในโลกออนไลน์ การ “ทัวร์ลง” ใครสักคนด้วยความคึกคะนอง จนชีวิตของเขาพังพินาศลงไป จิตที่ยินดีในความเจ็บปวดของผู้อื่นซ้ำๆ นี่แหละครับ คือเมล็ดพันธุ์ที่นำไปสู่การฟื้นมาตายซ้ำในสัญชีวนรก เพื่อให้จิตได้เรียนรู้บทเรียนว่า ความเจ็บปวดของผู้อื่นที่ตนเคยเพลิดเพลินนั้น เมื่อมันย้อนกลับมากระทบตนเองอย่างไม่สิ้นสุด มันเป็นอย่างไร

  1. กาฬสูตตนรก – ขุมแห่งเส้นด้ายดำ

ในมหานรกขุมที่สองนี้ แผ่นดินทั้งหมดจะร้อนระอุ สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลจับมัดให้นอนลง แล้วนำเส้นด้ายสีดำที่ทำจากเหล็กเผาไฟจนร้อนแดง มาตีลงบนร่างกายให้เป็นรอย เหมือนช่างไม้ที่ขีดเส้นบนท่อนซุงก่อนจะทำการเลื่อย จากนั้น นายนิรยบาลก็จะใช้เลื่อยหรือขวานที่ร้อนแดง สับผ่าร่างกายไปตามรอยเส้นด้ายดำนั้น สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

กรรมใดเล่าที่นำไปสู่แดนนี้? กรรมนี้เกิดจาก “วจีกรรม” เป็นหลักครับ คือการใช้วาจาอันเป็นพิษ การกล่าวร้ายป้ายสี ทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้อื่นให้เสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ที่เป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือผู้ทรงศีล

คำพูดของเรานี่แหละครับ คือเส้นด้ายดำที่มองไม่เห็น เวลาเรานินทาใครลับหลัง สร้างเรื่องโกหกเพื่อทำลายอนาคตของเขา คำพูดเหล่านั้นมันเหมือนการขีดเส้นตีตราลงไปในชีวิตของเขา บางครั้งอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยในวันนี้ แต่เมื่อกรรมส่งผล เราจะเข้าใจว่าคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค…มันสร้างรอยแผลและเจ็บปวดได้ยิ่งกว่าถูกเลื่อยผ่าร่างเสียอีก

  1. สังฆาตนรก – ขุมแห่งภูเขาเหล็กบดขยี้

มหานรกขุมที่สามนี้ มีภูเขาเหล็กขนาดมหึมาสองลูก เคลื่อนที่เข้าหากันด้วยความเร็วสูง พร้อมกับบดขยี้ทุกสรรพสิ่งในนั้นให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง สัตว์นรกที่พยายามวิ่งหนีก็จะถูกภูเขาเหล็กบดทับจนร่างกายแหลกลาญ แล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อถูกบดขยี้อีกครั้ง วนเวียนไปไม่รู้จบสิ้น

กรรมที่นำไปสู่ขุมนี้ คือกรรมของผู้ที่ใช้กำลังข่มเหงรังแกผู้อ่อนแอกว่าอย่างโหดร้าย ทารุณ ผู้ที่ทุบตีทำร้ายพ่อแม่ ผู้ที่เบียดเบียนสมณพราหมณ์ผู้ทรงศีล หรือผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมในการประหัตประหารชีวิตผู้อื่นเป็นหมู่มาก เช่น การก่อสงคราม หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ลองนึกถึงการกระทำที่บดขยี้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ไม่ใช่แค่ทางกาย แต่รวมถึงทางใจด้วย การใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงลูกน้องจนเขาสิ้นหวัง การทำลายครอบครัวผู้อื่นเพื่อความสะใจของตนเอง การกระทำเหล่านี้คือการสร้าง “ภูเขาแห่งความทุกข์” ให้กับผู้อื่น และผลของมันก็คือการถูกบดขยี้ด้วยภูเขาเหล็กแห่งกรรมของตนเอง

  1. โรรุวนรก – ขุมแห่งเสียงกรีดร้องจากภายใน

ชื่อของนรกขุมนี้แปลว่า “นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญ” ในขุมนี้ สัตว์นรกจะถูกเปลวไฟที่ร้อนแรงแผดเผาอย่างต่อเนื่อง แต่ความน่ากลัวของมันไม่ได้อยู่แค่ไฟภายนอก แต่อยู่ที่ไฟที่ลุกไหม้มาจาก “ภายใน” ร่างกาย ทะลุออกมาทางทวารทั้งเก้า ทำให้เกิดความเจ็บปวดและต้องกรีดร้องโหยหวนอยู่ตลอดเวลา

กรรมที่นำไปสู่นรกขุมนี้คืออะไร? คือกรรมของผู้ที่เบียดเบียนทรัพย์สินของผู้อื่น ลักขโมย คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาของส่วนรวมมาเป็นของตน ทำให้เจ้าของทรัพย์นั้นต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนใจเหมือนถูกไฟสุมอก

ลองนึกภาพตามนะครับ… คนที่ถูกโกงเงินเก็บทั้งชีวิต คนที่บ้านถูกขโมยของจนหมดตัว หรือเกษตรกรที่ถูกนายทุนกดขี่ขูดรีดจนสิ้นเนื้อประดาตัว ความทุกข์ของพวกเขาเหล่านั้นมันร้อนรนเหมือนมีไฟเผาอยู่ข้างในอกฉันใด ผู้ที่สร้างเหตุนั้น ก็จะได้รับผลกรรมเป็นไฟที่เผาไหม้จากภายในฉันนั้น เสียงกรีดร้องที่เคยอยู่ในใจของเหยื่อ จะกลายเป็นเสียงที่ตนเองต้องเปล่งออกมาไม่หยุดหย่อน

  1. มหาโรรุวนรก – ขุมแห่งเสียงกรีดร้องอันยิ่งใหญ่

เป็นขุมที่พัฒนามาจากโรรุวนรก แต่มีความทุกข์ทรมานและความร้อนรุนแรงกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า ไฟในขุมนี้ยิ่งร้อนแรงและซับซ้อนกว่าเดิม เสียงกรีดร้องนั้นดังสนั่นหวั่นไหวจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร เพราะทุกอณูในนรกขุมนี้คือความเจ็บปวด

กรรมที่พาไปสู่ขุมนี้ คือกรรมที่หนักขึ้นไปอีกระดับ คือการปล้นทรัพย์ ฆ่าเจ้าทรัพย์ การคดโกงโครงการระดับชาติที่สร้างความเดือดร้อนให้คนเป็นแสนเป็นล้านคน ผู้มีอำนาจที่ใช้นโยบายเบียดเบียนประชาชนเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง เสียงแห่งความทุกข์ของคนจำนวนมหาศาลเหล่านั้น จะรวมตัวกันเป็นพลังกรรมที่ส่งผลให้เกิดเป็นมหาโรรุวนรก

  1. ตาปนรก – ขุมแห่งไฟเผาตรึงบนหลาวเหล็ก

ในมหานรกขุมที่หก สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลจับเสียบด้วยหลาวเหล็กที่เผาไฟจนร้อนแดงจากทวารหนักทะลุออกทางปาก แล้วนำไปปักไว้บนแผ่นดินเหล็กที่ลุกเป็นไฟ ให้เปลวเพลิงแผดเผาทั้งจากข้างนอกและจากหลาวเหล็กข้างใน เป็นความทรมานที่เรียกว่า “สุกทั้งนอกและใน”

กรรมที่นำไปสู่แดนนี้ คือกรรมของผู้ที่มีจิตอาฆาตพยาบาทรุนแรง มีโทสะเป็นเจ้าเรือน ปล่อยให้ไฟแห่งความโกรธเผาผลาญจิตใจตนเองและลุกลามไปทำร้ายผู้อื่น เช่น การเผาบ้านเผาเมือง การเผาสถานที่สาธารณะ หรือการทำร้ายผู้อื่นด้วยความโกรธแค้นอย่างรุนแรงจนถึงแก่ความตาย

ไฟแห่งโทสะที่เราจุดขึ้นในใจเพื่อเผาคนอื่น สุดท้ายแล้วมันจะย้อนกลับมาเผาตัวเราเองอย่างแสนสาหัสในตาปนรกแห่งนี้

  1. มหาตาปนรก – ขุมแห่งไฟเผาจนเป็นจุล

เป็นขุมสุดท้ายก่อนถึงขุมที่ลึกที่สุด ความทุกข์ทรมานในมหาตาปนรกนี้รุนแรงกว่าตาปนรกอย่างหาที่เปรียบมิได้ เปลวไฟในขุมนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่เป็น “อัคนีโลกันตร์” ที่สามารถเผาผลาญได้แม้กระทั่งภูเขาและแผ่นดินให้เป็นจุล สัตว์นรกที่นี่จะถูกไฟเผาจนร่างกายสลายไป แล้วก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่เพื่อรับทุกขเวทนาอีก เป็นเช่นนี้ต่อไป

กรรมที่นำไปสู่ขุมนี้ คือกรรมของผู้ที่มีมิจฉาทิฐิอย่างรุนแรง คือผู้ที่ไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อว่าบาปบุญมีจริง และยังไปชักชวนให้คนอื่นเห็นผิดตามไปด้วย เช่น การตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิบิดเบือนคำสอนที่ถูกต้อง การทำลายพระพุทธศาสนา หรือการกระทำอนันตริยกรรมบางอย่างที่ยังไม่ถึงขั้นตกอเวจี

การเผาทำลาย “สติปัญญา” และ “ความเชื่อที่ถูกต้อง” ของผู้อื่น คือการสร้างกรรมที่นำไปสู่การถูกเผาทำลายด้วยไฟที่ร้อนแรงที่สุดในมหาตาปนรก

  1. อเวจีมหานรก – ขุมลึกที่สุดไร้ซึ่งความว่างเว้น

และแล้วเราก็มาถึงขุมที่ลึกที่สุด ต่ำที่สุด และน่าสะพรึงกลัวที่สุด… “อเวจี” แปลว่า “ปราศจากความว่างเว้น” นั่นคือไม่มีการหยุดพักแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ขุมนรกนี้มีเปลวไฟร้อนแรงที่สุด ล้อมรอบสัตว์นรกไว้ทุกทิศทาง ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง และรอบด้าน สัตว์นรกจะถูกตรึงนิ่งอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับหรือร้องขอความช่วยเหลือได้ มีแต่การรับรู้ความทุกข์ทรมานที่ต่อเนื่องยาวนานที่สุด จนกว่าจะสิ้นกรรม

ปลายทางนี้สงวนไว้สำหรับผู้ทำกรรมหนักที่สุด ที่เรียกว่า “อนันตริยกรรม” ได้แก่

ฆ่าพ่อ

ฆ่าแม่

ฆ่าพระอรหันต์

ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต

ทำสงฆ์ให้แตกแยก

กรรมเหล่านี้เป็นการทำลายคุณธรรมขั้นสูงสุด เป็นการหักล้างคุณค่าแห่งความกตัญญูและพระธรรมวินัยอย่างสิ้นเชิง จึงส่งผลให้ต้องไปรับทุกข์ในขุมที่ไม่มีช่องว่างแห่งความสุขเลยแม้แต่น้อย

คำถามที่เราทุกคนควรคิดต่อหลังฟัง

เมื่อเราได้ฟังเรื่องราวของทั้ง 8 มหานรกจบลงแล้ว…มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยใช่ไหมครับ?
เราเคย…ใช้วาจาทำร้ายจิตใจใครสักคนจนเขาต้องนอนร้องไห้หรือไม่? (นั่นคือเมล็ดพันธุ์ของกาฬสูตตนรก)
เราเคย…โกรธจนลืมตัว ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจคนตรงหน้าหรือไม่? (นั่นคือเมล็ดพันธุ์ของตาปนรก)
เราเคย…เอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นเรื่องสนุกสนานในวงสนทนาหรือไม่? (นั่นคือเมล็ดพันธุ์ของสัญชีวนรก)

ถ้าคำตอบของคุณคือ “เคย” แม้เพียงข้อเดียว…นั่นแปลว่าการฟังคลิปนี้ในวันนี้…ไม่เสียเปล่าเลยครับ เพราะการ “รู้ตัว” คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลง

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ปิดทองหลังพระ” แต่ผมอยากจะชวนทุกท่านมา “ปิดทองที่ใจของเราเอง”

ทองคำนั้นเปล่งประกายงดงาม…เพราะมันถูกขัดเกลาและหลอมผ่านความร้อนฉันใด จิตใจของเราก็เป็นเช่นนั้นฉันนั้นครับ มันต้องถูกขัดเกลาด้วย “สติ” ต้องถูกชะล้างด้วย “ความเมตตา” และต้องถูกเติมเต็มด้วย “ปัญญา”

การ “ปิดทอง” ให้จิตใจ ไม่ได้หมายถึงแค่การไปทำบุญที่วัด แต่คือ…

การหยุดสร้างกรรมชั่ว: เมื่อรู้ว่าคำพูดใดจะทำร้ายคนอื่น ก็เลือกที่จะเงียบเสีย นั่นคือการปิดทอง

การสร้างกุศลกรรม: เมื่อเห็นคนอื่นได้ดี ก็ร่วมยินดีไปกับเขาด้วยใจจริง นั่นคือการปิดทอง

การให้อภัย: เมื่อใครทำเราเจ็บ แต่เราเลือกที่จะไม่ผูกโกรธ ไม่จองเวร นั่นคือการปิดทองที่แผ่นใหญ่ที่สุด

การหยุดทำชั่ว คือการป้องกันไม่ให้จิตของเราสกปรก การทำความดีทุกวัน คือการขัดเกลาและชุบจิตใจของเราให้มีแสงสว่างในตัวเอง

ถ้าเรื่องราวในวันนี้ ทำให้คุณได้ฉุกคิด สะดุ้ง หรือสำนึกในสัจธรรมแห่งกรรมแม้เพียงเล็กน้อย…
ผมขอเชิญชวนให้ท่านกดติดตามช่องของเราไว้ เพราะเรื่องราวต่อไป…เราจะพาท่านเดินทางสู่จุดหมายที่อยู่ตรงข้ามกับนรกโดยสิ้นเชิง…นั่นคือ “แดนสวรรค์” และภพภูมิของผู้มีบุญ ที่เราทุกคนสามารถสร้างและไปถึงได้ด้วยการกระทำในปัจจุบัน

และหากท่านรู้สึกขอบคุณในธรรมทานนี้ หรืออยากส่งต่อความสว่างนี้ไปยังคนที่ท่านรัก ขอความกรุณาช่วยกันพิมพ์คำว่า “สาธุ” ลงในช่องความคิดเห็น เพื่อเป็นเครื่องยืนยันและเป็นพลังใจร่วมกันว่า…นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเลือกเดินทางบนเส้นทางแห่งแสงสว่าง และจะไม่พาตัวเองไปยังขุมนรกขุมใดเลย

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ขอให้ท่านมีสติเป็นเครื่องนำทาง มีปัญญาเป็นแสงสว่าง และมีเมตตาเป็นเครื่องคุ้มครอง…แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปครับ…สวัสดีครับ

You may also like

เรื่องเล่า จากทางบ้าน ตอน ชายชุดดำคือใครกัน?
รวมเรื่องเล่า

เรื่องเล่าจากทางบ้าน ตอน “ชายชุดดำคือใครกัน”

เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดมาอีกต่อหนึ่งครับ โดยผมจะขออนุญาตเล่าเรื่องนี้เป็นตัวผมแทนครับ จะได้ไม่สะดุดในการอ่านของทุกๆท่าน เรื่องราวนี้น่าจะย้อนไปราวๆ ปี 63-64 ที่ผ่านมาครับบ่ายวันหนึ่ง มีโทรศัพท์ โทรเข้ามา ซึ่ง ไม่บ่อยครั้งที่วันหยุดแบบนี้เพื่อนผมคนนี้จะโทรมาหา หากไม่มีเรื่องอะไร ผมขอเรียกสั้นๆว่าโอ นะครับ หลังจากรับสายเรียบร้อยแล้ว ผมจึงถามโอว่าโอ นายมีอะไรหรอ ถึงโทรมา โอจึงเล่าว่า พอดีวันนี้เรากลับบ้านมาหายายของเรา
เรื่องเล่า จากทางบ้าน ตอน สวดมนต์สยอง
รวมเรื่องเล่า

เรื่องเล่าจากทางบ้าน ตอน “สวดมนต์สยอง”

เรื่องเล่าเรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดจากคนๆ นึงครับ ผมขอเล่าแทนตัวเขา โดย เล่าเป็นตัวผมไปเลยละกันครับมันจะได้อ่านกันแล้ว แบบต่อเนื่องไม่ดูสับสนกันไปนะครับ เรื่องนี้ ย้อนกลับไปตอนช่วงเดือนมีนาคม 2565 ครับ ผมได้รับการติดต่อจากผู้หญิงคนนึง ว่าพอจะช่วยเขาได้หรือไม่พอดีผู้หญิงคนนี้ ได้ลองอ่าน และ ติดตามผมมานานหลายปีวันนี้เลยติดสินใจ ทักเข้ามาใน messenger เพื่อลองสอบถามดู ผมเลยบอกไปว่า ไหนลองเล่ามาก่อนละกัน