ในชีวิตประจำวันของเรา การสื่อสารไม่ใช่เพียงคำพูดหรือเสียงเท่านั้นที่สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความคิด หรือความรู้สึกได้ “แววตา” หนึ่งในสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์ เป็นเสมือนหน้าต่างที่เปิดเผยความเป็นตัวตน และความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจ บางครั้งเพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาของใครสักคน เราก็สามารถรับรู้ถึงความปรารถนา ความทุกข์ ความสุข หรือแม้แต่ความเมตตาได้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
แววตา: การสะท้อนจิตวิญญาณและความคิด
แววตาของคนเราคือหน้าต่างที่เปิดเผยจิตใจและความรู้สึกที่ลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการสื่อสารโดยไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาเลย ความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างที่อยู่ภายในจิตใจสามารถถ่ายทอดออกมาผ่านแววตา ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความสงบ หรือแม้แต่ความทุกข์ แววตาเป็นเหมือนกระแสพลังงานที่แผ่ออกไปในทุกทิศทาง ส่งต่อความรู้สึกถึงผู้คนรอบตัว
แววตาที่จรรโลงใจ: ความงามแห่งธรรมะในทุกมิติ
เมื่อจิตใจของเราถูกหล่อหลอมด้วยธรรมะ ความสงบและความเมตตาก็จะสะท้อนผ่านแววตาอย่างเด่นชัด แววตาที่เปี่ยมด้วยความสงบไม่ได้เพียงทำให้ผู้มองรู้สึกผ่อนคลาย แต่ยังช่วยจรรโลงจิตใจให้สงบตามไปด้วย คลื่นพลังแห่งความเมตตานี้ทำให้คนรอบข้างรู้สึกถึงความอบอุ่น ราวกับได้รับการโอบอุ้มจากพลังงานที่ดีงามในธรรมชาติ
ผู้ที่ฝึกจิตให้ยึดมั่นในธรรมะ เช่น หลวงปู่ไพบูลย์ สมังคโล แสดงให้เห็นถึงแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต ท่านสามารถใช้เพียงสายตาในการสื่อสารธรรมะโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด แววตาของท่านคือบทเรียนที่สอนให้เรารู้จักพิจารณาชีวิต เข้าใจความทุกข์ และเดินไปบนเส้นทางแห่งความสงบ
กระแสความรู้สึกที่ส่งผ่านการเชื่อมโยงระหว่างจิตใจ
แววตาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น แต่มันยังทำหน้าที่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างจิตใจของผู้คน เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นได้แม้ไม่ต้องเอ่ยคำพูด เพียงแค่สบตาก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่แผ่รอบตัว เช่นเดียวกับที่คนกล่าวว่า “มองตาก็รู้ใจ” เพราะดวงตาคือกระจกที่สะท้อนความจริงใจและจิตวิญญาณ
กระแสความรู้สึกที่ดี เช่น ความรัก ความเมตตา และความเข้าใจ สามารถแผ่ขยายจากตัวเราไปยังคนรอบข้าง และทำให้ผู้คนรอบตัวสัมผัสได้ถึงความสุขใจ แต่ในทางกลับกัน หากจิตใจเต็มไปด้วยความโกรธ ความเครียด หรือความขุ่นมัว กระแสเหล่านี้ก็จะแผ่ออกไปเช่นกัน และอาจส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัด ดังนั้น การดูแลจิตใจให้บริสุทธิ์และเปี่ยมไปด้วยความเมตตา คือหนทางหนึ่งที่จะทำให้แววตาของเราสื่อสารพลังงานที่ดีออกไป
การจรรโลงใจและการเข้าถึงธรรมะด้วยแววตา
ธรรมะไม่ได้เป็นเพียงคำสอนที่สื่อผ่านคำพูด แต่มันยังสามารถแสดงออกผ่านการกระทำ ความสงบในจิตใจ และแววตาที่แสดงถึงความเมตตา หลวงปู่ไพบูลย์ สมังคโล คือแบบอย่างของผู้ที่ใช้แววตาเป็นสื่อกลางในการจรรโลงใจผู้คน แววตาของท่านไม่ได้สะท้อนแค่ความเมตตา แต่ยังสื่อถึงความเข้าใจในทุกข์ของมนุษย์ และชี้ทางสว่างให้กับผู้ที่หลงทางในชีวิต
เมื่อเรามองแววตาของผู้ที่เปี่ยมด้วยธรรมะ เราจะสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ปลอบประโลมและยกระดับจิตวิญญาณของเราเอง การสบตากับคนที่จิตใจสงบและเต็มไปด้วยความเมตตา เปรียบเสมือนการได้รับพลังงานที่ช่วยให้เรารู้สึกถึงความมั่นคงและความสงบในจิตใจ
สรุป
แววตาเป็นมากกว่าการมองเห็น เพราะมันคือช่องทางที่เชื่อมโยงจิตใจและธรรมชาติของมนุษย์เข้าด้วยกัน ผ่านกระแสความรู้สึกที่แผ่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว แววตาที่เต็มไปด้วยความสงบและความเมตตาจรรโลงจิตใจทั้งผู้ให้และผู้รับ หลวงปู่ไพบูลย์ สมังคโล ได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าการมองตากันสามารถสร้างความเข้าใจและปลอบประโลมจิตใจได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด
ดังนั้น หากเราต้องการให้แววตาของเราเป็นพลังที่จรรโลงใจผู้อื่น เราควรเริ่มจากการฝึกจิตใจให้สงบและยึดมั่นในธรรมะ เพราะแววตาของคนเรา มันบอกทุกอย่าง และกระแสความรู้สึกนึกคิดของเราจะเป็นสิ่งที่แผ่ไปสู่คนรอบข้าง รับรู้ได้หมด และสัมผัสใจได้อย่างแท้จริง
ปล. ได้รับแรงบันดาลในจาก “จากประโยคนี้ “แววตา คนเรา มันบอก ทุกอย่าง ..กระแส.. ความรู้สึกนึกคิด มันแผ่ไปรอบตัว รับรู้ได้หมด เราถึง บอกได้ว่า หลวงปู่ไพบูลย์ สมังคโล มองตา..ก็รู้ใจ” ครับ