คุณเคยไหมครับ… เคยรู้สึกแบบนี้ไหม… หลังจากที่คุณได้พูดคุยกับใครบางคนจบลง ทั้งๆ ที่นั่งคุยกันในห้องแอร์เย็นสบาย ไม่ได้ออกแรงยกของหนัก ไม่ได้ไปวิ่งมาราธอนที่ไหน แต่ทำไม… ร่างกายกลับเหนื่อยล้า จิตใจกลับห่อเหี่ยว เหมือนมีใครบางคนมาสูบเอาพลังงานดีๆ ในตัวเราออกไปจนหมดสิ้น…ถ้าคุณเคยรู้สึกเช่นนี้ หรือกำลังรู้สึกอยู่บ่อยครั้ง знайтеว่าคุณไม่ได้คิดไปเอง คุณอาจกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า “ผู้ดูดพลังชีวิต” หรือ Energy Vampire วิธีจัดการคนที่เป็นพิษ และ คนดูดพลัง หยุดให้ใครมาควบคุมชีวิตคุณ
พวกเขาเหล่านี้ อาจไม่ใช่คนเลวร้ายในสายตาของสังคม อาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยันขันแข็ง อาจเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ดูน่าเคารพ หรือแม้กระทั่งคนใกล้ชิดที่คุณรัก แต่พวกเขามีรูปแบบพฤติกรรมบางอย่างที่ใช้พลังงานลบ คำพูด และท่าทีที่คอยดูดซับพลังใจของเราไปทีละน้อยๆ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีที่จะเป็นอิสระจากวงจรนี้กันครับ
ข้อที่ 1: รู้จักสัญญาณเตือนภัยของพวกเขาให้ชัดเจน
สิ่งแรกและสำคัญที่สุด คือเราต้องมองเห็นเขาให้ได้เสียก่อน เหมือนเราจะป้องกันเชื้อโรค เราก็ต้องรู้ว่าเชื้อโรคมันมาในรูปแบบไหน… ถ้าเราไม่รู้ เราก็จะเปิดประตูรับเขาเข้ามาในชีวิตเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สัญญาณที่พบบ่อยที่สุด และผมเชื่อว่าหลายท่านในที่นี้คงเคยเจอ คือ “นักบ่นมืออาชีพ” พวกเขาบ่นได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ดินฟ้าอากาศ การเมือง การจราจร ไปจนถึงเรื่องเล็กน้อยในที่ทำงาน แต่ที่น่าสังเกตคือ เขาบ่นเพื่อบ่นเท่านั้น เขาไม่เคยคิดจะหาทางแก้ไข หรือลงมือทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย บทสนทนากับเขาจึงมีแต่พลังงานลบที่ไหลออกจากปากเขา มาสู่หูของเรา
สัญญาณต่อมาคือ “นักโทษผู้บริสุทธิ์” คนกลุ่มนี้จะไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยในชีวิตของพวกเขา ถ้างานมีปัญหา ก็เป็นเพราะเพื่อนร่วมงานไม่ดี ถ้าความสัมพันธ์ล้มเหลว ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เข้าใจ ถ้าชีวิตไม่ก้าวหน้า ก็เป็นเพราะโชคชะตาไม่เข้าข้าง เขาจะโยนความผิดให้ทุกสิ่งรอบตัวเสมอ ยกเว้นคนเดียว…คือตัวของเขาเอง
และที่สำคัญที่สุด เวลาที่เราอยู่กับเขา บทสนทนาจะวนเวียนอยู่แต่เรื่องของเขา ความทุกข์ของเขา ปัญหาของเขา เขาแทบจะไม่เคยถามคุณเลยว่า “แล้วคุณล่ะ…เป็นอย่างไรบ้าง?” และเมื่อไหร่ก็ตามที่เดินจากเขามา เราจะรู้สึกว่างเปล่า เหนื่อยล้า และหมดแรง
ข้อที่ 2: ฟังเสียงร่างกายและหัวใจของตัวเองหลังเจอใครสักคน
บางครั้ง…เราไม่ต้องใช้สมองวิเคราะห์พฤติกรรมของเขาให้ซับซ้อนเลยครับ ธรรมชาติได้ให้เครื่องมือที่ดีที่สุดกับเรามาแล้ว นั่นคือ “ความรู้สึก” ของเราเอง
ลองฝึกกลับมาอยู่กับตัวเองเงียบๆ สักครู่นะครับ… หลังจากที่คุณวางสายจากเพื่อนคนนั้น… หลังจากที่คุณเดินออกจากห้องประชุมนั้น… หลังจากที่คุณเพิ่งทานข้าวกับญาติคนนั้นเสร็จ… ให้ถามตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ว่า “ตอนนี้ฉันรู้สึกอย่างไร?”
ร่างกายของคุณเกร็งไหม? หัวใจคุณเต้นหนักๆ หรือรู้สึกห่อเหี่ยวไหม? ในหัวมันหนักอึ้งหรือโปร่งเบา?
ถ้าคำตอบคือคุณรู้สึกจิตตก เหนื่อยหน่าย หรือบางครั้งรู้สึกผิดอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย… นั่นคือสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดจากร่างกายและจิตใจของคุณแล้วว่า “คนเมื่อกี้… ได้เอาพลังงานดีๆ ของเราไปนะ” จงเชื่อความรู้สึกนี้เถอะครับ เพราะมันไม่เคยโกหกเรา
ข้อที่ 3: หยุดทำหน้าที่เป็น “ถังขยะทางอารมณ์”
ผู้ดูดพลังชีวิต…จะมองหา “ผู้ฟังชั้นเลิศ” อยู่เสมอ และคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือคนที่มีจิตใจดี มีความเมตตา และพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะคนกลุ่มนี้คือเป้าหมายอันดับหนึ่ง
ลองจินตนาการภาพตามนะครับ… เขามีขยะทางอารมณ์อยู่ในมือ ทั้งความโกรธ ความคับข้องใจ ความอิจฉาริษยา เขากำลังมองหาที่ทิ้ง และเขาก็เห็นคุณ… ผู้ซึ่งเปิดใจกว้าง พร้อมรับฟังเสมอ เขาก็จะเทขยะทั้งหมดนั้น…ลงมาที่คุณ
ปัญหาคือ…เราเกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ผู้สร้างสรรค์สิ่งดีงาม ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นถังขยะรองรับอารมณ์ของใคร และเราไม่จำเป็นต้องแบกรับทุกเรื่องราวของทุกคนไว้บนบ่าของเรา
หากเราไม่หยุด… ไม่ปฏิเสธ… วันหนึ่งเราจะพบว่าถังขยะนั้นมันเต็มจนล้น และกลิ่นเหม็นของมันก็เริ่มกัดกินชีวิตของเราเอง จนเราหมดแรงจะลุกขึ้นมายืนเพื่อตัวเองด้วยซ้ำ
ข้อที่ 4: ฝึกพูดคำว่า “ไม่” ด้วยหัวใจที่เมตตาต่อตนเอง
ผมเข้าใจดีว่าในสังคมไทย “ความเกรงใจ” คือสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนาน การพูดคำว่า “ไม่” อาจทำให้เรารู้สึกผิด รู้สึกว่าเป็นคนใจดำ กลัวว่าเขาจะโกรธ หรือเสียความสัมพันธ์ไป
แต่ผมอยากให้เรามองมุมใหม่นะครับ… การพูดคำว่า “ไม่” ไม่ใช่การปฏิเสธตัวตนของเขา แต่คือการเคารพขอบเขตและพลังงานของตัวเราเอง มันคือการกระทำที่เกิดจากความรักและความเมตตาต่อตัวเองอย่างแท้จริง
เราไม่จำเป็นต้องพูดว่า “ไม่! ฉันไม่คุย!” แบบแข็งกร้าว แต่เราสามารถใช้ประโยคที่นุ่มนวลแต่ชัดเจนได้ เช่น…
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ แต่ขอโทษจริงๆ ตอนนี้ผมยังไม่สะดวกที่จะคุยเรื่องนี้เลย พอดีมีเรื่องที่ต้องใช้สมาธิจัดการอยู่”
หรือ “เรื่องนี้น่าเห็นใจมากเลย แต่ผมคิดว่าผมน่าจะไม่ใช่คนที่ให้คำปรึกษาได้ดีที่สุดในเรื่องนี้”
ประโยคง่ายๆ เหล่านี้ คือกำแพงที่สวยงามและแข็งแรง ที่ช่วยปกป้องสุขภาพจิตของเราไว้ โดยที่เรายังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ได้ครับ
ข้อที่ 5: วางขอบเขตของเวลาและการเข้าถึงตัวเรา
การวางขอบเขต คือการแสดงความรักตัวเองในภาคปฏิบัติที่ชัดเจนที่สุด มันไม่ใช่ความใจร้าย แต่มันคือการประกาศให้โลกรู้ว่า “ฉันมีค่า และเวลาของฉันก็มีค่า”
คุณไม่จำเป็นต้องรับสายโทรศัพท์ทันทีที่เขาโทรมา โดยเฉพาะเมื่อคุณรู้ว่าปลายสายคือใครและจะมาไม้ไหน… การปล่อยให้มันดังไป หรือโทรกลับไปในเวลาที่คุณพร้อม คือสิทธิ์ของคุณ
คุณไม่จำเป็นต้องตอบข้อความทันทีภายใน 5 นาที… การตอบช้าบ้าง เว้นช่วงบ้าง คือการสร้างพื้นที่หายใจให้ตัวเอง
และที่สำคัญ คุณไม่จำเป็นต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือเขาทุกครั้งที่เขาร้องขอ… ลองสังเกตให้ดี บางครั้งสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่ “วิธีแก้ปัญหา” แต่เขาต้องการแค่ “พลังงานและความสนใจ” จากเราเท่านั้นเอง
ข้อที่ 6: เลือกสนทนาในหัวข้อที่สร้างสรรค์
หากคุณรู้ตัวว่าเลี่ยงไม่ได้ ต้องอยู่ในวงสนทนากับเขาจริงๆ ให้ลองสวมบทบาทเป็น “ผู้ควบคุมทิศทางลม” แทนที่จะเป็น “ใบไม้ที่ปลิวไปตามลม”
เมื่อเขากำลังจะเริ่มบทสนทนาเชิงลบที่คุ้นเคย เช่น การบ่นเรื่องงาน ให้คุณลองเปลี่ยนเข็มทิศของบทสนทนาอย่างนุ่มนวลที่สุด
เช่น “เรื่องนั้นน่าเห็นใจจริงๆ ครับ… เออนี่ ว่าแต่… ผมเห็นคุณเพิ่งไปเที่ยวทะเลมาในเฟซบุ๊ก เล่าให้ฟังหน่อยสิครับว่าเป็นยังไงบ้าง สวยไหม?”
การทำเช่นนี้ คือการเลือกที่จะไม่เอาใจของเราไปจมอยู่กับพลังงานลบ และเชิญชวนให้เขาพูดถึงเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของเขาแทน เพราะไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะต้องเปิดประตูหัวใจต้อนรับเข้ามา
ข้อที่ 7: เรียนรู้จังหวะที่จะ “ถอย” ออกมาก่อนจะพัง
นักรบที่ฉลาด…จะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรรบ และเมื่อไหร่ควรถอยเพื่อรักษาไพร่พล ชีวิตเราก็เช่นกันครับ
เมื่อคุณรู้สึกว่าพลังงานของคุณเริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ หัวใจเริ่มเหนื่อยล้า อย่าฝืนครับ! อย่าคิดว่าเราต้องทนอยู่ตรงนั้นจนจบเพื่อรักษามารยาท การถอยออกมาไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่คือชัยชนะของการรักตัวเอง
คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลยืดยาวทุกครั้ง การขอตัวง่ายๆ เช่น “ขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ” หรือ “นึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะครับ” แล้วเดินออกมาเลย… ก็เพียงพอแล้ว
การถอยออกมาชั่วคราว เพื่อไปพักใจ ไปเติมพลังให้ตัวเอง คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะรักษาทั้งตัวเองและความสัมพันธ์นั้นไว้ ไม่ให้ต้องแตกหักลงไปต่อหน้าต่อตา
ข้อที่ 8: จงแสวงหา “ผู้ให้พลัง” มาอยู่รายล้อมตัว
เมื่อเราคัดคนที่เป็นพลังงานลบออกไปแล้ว ธรรมชาติของพื้นที่ว่างจะต้องการการเติมเต็มครับ จงเติมพื้นที่นั้นด้วยคนที่เป็น “กัลยาณมิตร” เป็น “ผู้ให้พลัง” หรือ “Energy Giver”
คนเหล่านี้คือใคร?
คือคนที่เราคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ… รู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่
คือคนที่เราคุยด้วยแล้วรู้สึกมีแรงบันดาลใจ… กล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ
คือคนที่หัวเราะไปกับเราในวันที่มีความสุข และนั่งอยู่ข้างๆ เราเงียบๆ ในวันที่เราทุกข์ใจ โดยไม่ตัดสิน
จงใช้เวลาอยู่กับคนเหล่านี้ให้มากครับ เพราะพวกเขาคือ “เครื่องชาร์จพลังชีวิต” ชั้นดี ที่จะคอยเติมพลังให้เราจนเต็มเปี่ยม และทำให้เรามีแรงกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
ข้อที่ 9: ดูแลกายและใจของเราให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ
ลองนึกภาพตามนะครับ… พลังชีวิตของเราก็เหมือนน้ำในแก้ว ถ้าเรามีน้ำอยู่แค่ก้นแก้ว ใครมาดูดไปนิดเดียว น้ำก็หมดแล้ว แต่ถ้าเรามีน้ำเต็มแก้ว… ต่อให้มีคนมาดูดไปบ้าง เราก็ยังเหลือน้ำอีกมากมาย
การดูแลรักษากายและใจให้แข็งแรง คือการเติมน้ำในแก้วของเราให้เต็มอยู่เสมอ
ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายนะครับ แต่หมายรวมถึงการนอนหลับให้เพียงพอ การเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ การพาตัวเองไปอยู่ในธรรมชาติ และที่สำคัญคือการหาเวลาอยู่กับตัวเองเงียบๆ ทำสมาธิ หรือทำในสิ่งที่เรารักจริงๆ
เมื่อกายเราแข็งแรง ใจเรามั่นคง พลังงานในตัวเราจะสูงขึ้น เกราะป้องกันตัวเองของเราจะหนาขึ้นโดยอัตโนมัติ และเราจะถูกดูดพลังได้ยากขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ครับ
ข้อที่ 10 และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุด: ถามตัวเองให้ชัดว่า “ทำไม?”
มาถึงข้อสุดท้าย ซึ่งเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงครับ… หลังจากที่เราเรียนรู้วิธีทั้งหมดแล้ว ให้เรากลับมาถามตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ที่สุดหนึ่งคำถาม…
“ทำไม…เราถึงยังยอมอยู่กับคนที่ดูดพลังเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
คำตอบของคำถามนี้…ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาเลย แต่อยู่ที่ “ข้างใน” ของเราเอง
เรากลัวอะไรกันแน่?
เรากลัวที่จะต้องเสียเขาไปใช่ไหม?
หรือลึกกว่านั้น… เรากลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว?
หรือเรามีความเชื่อลึกๆ ว่าเราต้องเป็น “ผู้ช่วยเหลือ” ต้องเป็น “คนดี” ในสายตาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา?
การค้นหาคำตอบของคำถามนี้…อาจจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวดในตอนแรก แต่มันคือหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยเราจากโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นนี้ได้อย่างถาวร และอาจจะเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาลเลยก็ได้
สุดท้ายนี้… ผมอยากจะฝากไว้ว่า อย่าพยายามใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อไปทำความเข้าใจว่า “ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนั้น” เลยครับ
แต่จงใช้เวลาของเรา…มาทำความเข้าใจตัวเองดีกว่า ว่า “ทำไมเราถึงยอมให้เขามามีอิทธิพลกับชีวิตเรา”
เพราะเมื่อเราเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ เราจะค้นพบพลังอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
พลังชีวิตของคุณ…หัวใจของคุณ…มีค่าเกินกว่าจะให้ใครมาสูบไปจนหมด โปรดจงรับมันกลับมาเป็นของคุณเองอย่างสมบูรณ์
หากท่านใดรู้สึกว่าเรื่องราวในวันนี้เป็นประโยชน์ และอยากจะส่งต่อพลังงานดีๆ ให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมทางท่านอื่น… ลองพิมพ์คำว่า “สาธุ” หรือ “ขอบคุณตัวเอง” ในช่องแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นการยืนยันกับตัวเองว่า “ฉันพร้อมแล้วที่จะเป็นเจ้าของพลังชีวิตของฉัน” นะครับ
ขอให้ทุกท่านได้กลับไปพบกับความสงบสุขและพลังชีวิตที่เต็มเปี่ยมในแบบของตัวเองนะครับ…สาธุ
และอย่าลืมกดติดตาม กดกระดิ่งแจ้งเตือนช่องของเราไว้นะครับ เพราะในครั้งหน้า เราจะมาคุยกันในหัวข้อที่ลึกซึ้งไปอีกขั้นว่า… เมื่อเราตัดพลังงานลบออกไปแล้ว เราจะดึงดูดพลังงานบวกและโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตได้อย่างไร… แล้วพบกันใหม่ในครั้งต่อไปครับ สวัสดีครับ

