สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังผู้มีเกียรติทุกท่าน… ยินดีต้อนรับกลับสู่ช่องของเราอีกครั้งครับ ก่อนที่เราจะเริ่มเนื้อหาในวันนี้ ผมอยากให้ท่านลองถามตัวเองสักนิดว่า ท่านเคยรู้สึกไหมครับว่าบางครั้งการกลับบ้านไม่ได้ทำให้ท่านหายเหนื่อยอย่างที่ควรจะเป็น หรือบรรยากาศในบ้านบางทีก็ตึงเครียดโดยไม่มีสาเหตุ วันนี้ เราจะมาไขความลับนั้น และเปลี่ยนบ้านของท่านให้กลายเป็นสถานที่ชาร์จพลังชีวิตที่ดีที่สุด ผ่านศาสตร์และศิลป์ของการ “แผ่บุญและจัดบ้านให้หายใจเป็น” ครับ หากท่านฟังคลิปนี้จนจบ ท่านจะได้เรียนรู้วิธีการเปลี่ยนพลังงานลบให้เป็นบวกด้วยตัวท่านเอง สร้างเกราะคุ้มกันความทุกข์ให้บ้าน และดึงดูดความสุขความเจริญเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติครับ
ถ้าบ้านคือที่ที่หัวใจของเราได้กลับมาเป็นตัวเอง วันนี้ผมอยากชวนทุกคนทำสิ่งหนึ่งที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก… ‘แผ่บุญให้บ้าน’ ให้พื้นที่เล็ก ๆ ที่เราหายใจ กินข้าว หัวเราะ ร้องไห้ กลับมาอุ่นและสว่างอีกครั้ง ไม่ใช่แค่สว่างด้วยหลอดไฟ แต่สว่างไสวด้วยพลังแห่งความดีที่เราสร้างร่วมกัน
หลายบ้านไม่ได้ขาดเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ไม่ได้ขาดสิ่งของอำนวยความสะดวก… แต่กลับขาดอากาศบริสุทธิ์ ขาดแสงสว่างที่เหมาะสม ขาดถ้อยคำดีๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ขาดพลังใจดี ๆ ที่จะคอยโอบกอดซึ่งกันและกันในวันที่เหนื่อยล้า เราจะพา ‘บุญ’ เข้าไปเป็นลมหายใจของบ้าน พร้อมกับจัดระเบียบพลังงานและสภาพแวดล้อมให้ถูกต้อง จนทั้งร่างกายและจิตใจของเรารู้สึกได้อย่างแท้จริงว่า—บ้านนี้ เป็นสุขได้จริง
ก่อนจะเริ่ม ผมอยากชวนทุกท่านที่กำลังฟังอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะนั่งอยู่มุมไหนของบ้านก็ตาม ลองหลับตาลงเบา ๆ หายใจเข้าลึก ๆ… รับรู้ถึงอากาศที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย… และหายใจออกช้า ๆ… ปล่อยความวุ่นวายออกไป… ทำแบบนี้เพียงสามครั้งครับ… รับรู้ว่าพื้นที่ที่เรานั่งอยู่นี่แหละคือบ้านของเรา ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เก่าหรือใหม่ หรือแม้แต่เป็นบ้านเช่า มันคือสถานที่ที่เราจะเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความดีให้เติบโตงอกงาม
คำว่า ‘แผ่บุญ’ ในความเข้าใจของผม ไม่ใช่เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติเลยแม้แต่น้อยครับ มันคือกระบวนการทางจิตที่แปรเปลี่ยนพลังงานจากการกระทำดีของเรา—ไม่ว่าจะเป็นการให้อภัยคนอื่น การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ การให้ทานตามกำลัง หรือการปฏิบัติภาวนา—ให้กลายเป็นคลื่นพลังงานที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความปรารถนาดี ส่งออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง และที่สำคัญคือสู่สถานที่ที่เราอาศัยอยู่ คลื่นพลังงานนี้อาจไม่มีใครมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ทุกคนในบ้านสามารถสัมผัสได้จากบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น จากรอยยิ้มที่เกิดขึ้นง่ายกว่าเดิม หรือจากคำพูดที่นุ่มนวลขึ้นในบ้านเดียวกันนั่นเองครับ
และเพื่อให้บุญนี้ไหลเวียนได้อย่างสะดวก บ้านก็ต้อง ‘หายใจเป็น’ เหมือนกับตัวเราครับ บ้านที่อยู่แล้วเป็นสุขจึงมีองค์ประกอบพื้นฐานง่าย ๆ ที่หลายคนมักมองข้ามไป นั่นคือ—แสงธรรมชาติที่เพียงพอ อากาศที่ถ่ายเทสะดวก ทางเดินที่โล่งสะอาด ระบบน้ำ–ไฟ–เสียงที่ปลอดภัย และมุมสีเขียวเล็ก ๆ ที่เป็นเหมือนโอเอซิสคอยปลอบประโลมใจเราในวันที่เหนื่อยล้า เพราะสุขภาวะทางกายนั้นกุมบังเหียนอารมณ์ของเราเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ลองสังเกตดูสิครับ บ้านที่อับทึบ รก และมืด มักจะทำให้จิตใจของเราหนักอึ้ง ความขุ่นเคืองหรือความหงุดหงิดก็เกิดง่ายขึ้นอย่างน่าประหลาด
ฉะนั้น พิธีของเราในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การสวดมนต์ ไม่ใช่แค่การจุดธูป แต่เป็นการทำแบบ ‘แพ็กคู่’ คือการสร้างบุญทางใจ ควบคู่ไปกับการจัดบ้านให้หายใจได้ดี เราจะค่อย ๆ ทำไปด้วยกันนะครับ ไม่ต้องรีบร้อน ช้า ๆ แต่ให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในทุกขั้นตอน
เรามาเริ่มต้นกันที่ประตูหน้าบ้านกันก่อนเลยครับ ประตูหน้าบ้านเปรียบเสมือน ‘ปาก’ ของบ้าน เป็นจุดรับพลังงานแรกเข้ามา ให้เราเริ่มต้นด้วยการทำให้บริเวณนี้โล่งและสะอาดที่สุด ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ เช็ดลูกบิดหรือที่จับประตู สัมผัสแรกที่สะอาดจะสร้างความรู้สึกที่ดีทันที เก็บรองเท้าที่ไม่จำเป็น หรือที่ไม่ได้ใช้แล้วเข้าตู้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าให้มีรองเท้าเกะกะขวางทางเดิน เพราะมันคืออุปสรรคแรกที่สกัดกั้นพลังงานดีๆ
จากนั้น เปิดประตูและหน้าต่างบริเวณโถงทางเข้า ให้ลมได้ไหลผ่านสักครู่หนึ่ง เพื่อเป็นการเชื้อเชิญอากาศบริสุทธิ์เข้ามา ถ้าเป็นช่วงเย็นหรือกลางคืน ลองเปิดไฟดวงเล็ก ๆ ที่มีแสงสีส้มอุ่น (Warm White) ไว้ที่โถงทางเข้าดูสิครับ อุณหภูมิทางความรู้สึกของบ้านจะเปลี่ยนไปในทันที และถ้าเป็นไปได้ ลองหาต้นไม้เล็ก ๆ สักหนึ่งกระถางมาวางไว้ในจุดนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นต้นไม้ราคาแพงครับ อาจจะเป็นพลูด่าง ลิ้นมังกร หรือกวักมรกตก็ได้ แต่หัวใจสำคัญคือ ต้นไม้นั้นต้อง ‘มีชีวิต’ และเราต้องดูแลเอาใจใส่เขาจริงๆ การรดน้ำพรวนดินเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน ก็เป็นการสร้างบุญและสร้างความผูกพันกับบ้านไปในตัว
จากนั้น ให้เรามองหาจุดที่เงียบที่สุดของบ้าน อาจจะเป็นมุมห้องนั่งเล่น หรือมุมในห้องนอนที่เราไม่ค่อยได้ใช้งาน นำโต๊ะเล็ก ๆ ไปตั้ง วางน้ำสะอาดหนึ่งแก้ว และเทียนหนึ่งเล่ม ถ้าท่านมีพระพุทธรูป รูปครูบาอาจารย์ หรือภาพที่ให้แรงบันดาลใจทางใจ ก็ให้นำมาวางไว้ในตำแหน่งที่สูงกว่าระดับสายตาเล็กน้อย จุดนี้ไม่ต้องใหญ่โตหรูหราครับ แต่ต้อง ‘สะอาด’ และ ‘เข้าถึงง่าย’ เพราะมุมบุญนี้จะไม่เติบโตเลย หากเราทำแค่ปีละครั้งตอนขึ้นบ้านใหม่ แล้วปล่อยให้ฝุ่นจับหนาไปอีกสิบกว่าเดือน
พร้อมไหมครับ… เราจะมาตั้งจิตอธิษฐานไปพร้อมๆ กัน
ขอให้ทุกท่านวางมือข้างหนึ่งไว้บนหน้าอกข้างซ้าย สัมผัสถึงจังหวะหัวใจของตัวเอง บอกชื่อ-นามสกุลของตัวเองในใจ แล้วกล่าวตามผมเบา ๆ หรือกล่าวในใจก็ได้ครับ…
‘วันนี้… ข้าพเจ้า (เอ่ยชื่อ-นามสกุล) ขอแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าเคยได้กระทำมาดีแล้วทั้งหมด ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ทั้งที่ทำด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ
ขออานุภาพแห่งบุญกุศลนี้ จงแผ่ออกไปทั่วทุกอณูของบ้านหลังนี้
ให้ซึมซับลงไปในผืนดินที่ตั้ง ซึมซาบเข้าไปในพื้น ปนไปกับอากาศ ติดอยู่ตามผนัง บานประตู และหน้าต่างทุกบาน
ขอให้บ้านหลังนี้เป็นเขตอภัยทาน เป็นพื้นที่แห่งความสุข ความปลอดภัย และความอบอุ่น
ขอให้คนท่ีอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความคิดที่ดี มีวาจาที่ดี มีเมตตาต่อกัน
ขอให้ดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่เคยเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะภพภูมิใดก็ตาม ได้โปรดมารับส่วนกุศลนี้ และอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
ขอให้เทพเทวาอารักษ์ผู้ปกปักรักษาบ้านหลังนี้—ท่านเจ้าที่เจ้าทาง—และผู้คุ้มครองทุกภพทุกภูมิ ได้โปรดรับการน้อมนมัสการนี้ และโปรดเมตตาเอ็นดูพวกเราผู้เป็นเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยด้วยเถิด’
สาธุ…
จากนั้น เราจะมาเปลี่ยนพลังบุญให้จับต้องได้ ด้วยการปรับบ้านทีละส่วน ทีละหายใจครับ บ้านที่คนอยู่แล้วมีความสุข ต้องมีแสงสว่างจากธรรมชาติอย่างน้อยหนึ่งด้านส่องเข้ามายังห้องนั่งเล่นในตอนเช้า ลองเปิดม่านโปร่งให้แดดอ่อนๆ ยามเช้าได้สาดส่องเข้ามาสักครึ่งชั่วโมงดูสิครับ แสงแดดไม่ได้แค่ฆ่าเชื้อโรค แต่ยังช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย ทำให้ระบบการนอนของทุกคนในบ้านดีขึ้น อารมณ์ตลอดทั้งวันก็จะสดใสขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาโชคชะตาเลย หากห้องของท่านร้อนเกินไปในตอนบ่าย ลองใช้ม่านกรองแสง ระแนงไม้ หรือฟิล์มกรองแสงช่วย ไม่จำเป็นต้องปิดบ้านให้มืดสนิทตลอดวันนะครับ
อากาศที่ดีคือของขวัญล้ำค่าที่บ้านมอบให้เรา ลองเปิดหน้าต่างสองฝั่งของบ้านที่อยู่ตรงข้ามกัน เพื่อให้เกิดทางลม (Cross Ventilation) หรือถ้าเป็นคอนโด อาจจะเปิดหน้าต่างห้องนอนกับประตูระเบียง เพื่อให้อากาศได้หมุนเวียนถ่ายเท นำพลังงานเก่าๆ ออกไป หรือแม้แต่การติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องครัวให้มีกำลังแรงพอ ก็จะช่วยให้ควันและกลิ่นอาหารไม่ไหลย้อนกลับไปสะสมในห้องนอน แค่บ้านได้หายใจสะดวกขึ้น คนในบ้านก็จะหายใจโล่งขึ้น ความขัดอกขัดใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะเบาบางลงอย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ
ทีนี้ ให้เราหันกลับมาที่มุมสงบที่เราจัดเตรียมไว้ตอนแรกครับ จุดเทียนหนึ่งเล่ม ไม่จำเป็นต้องจุดธูปเยอะนะครับ เพราะในบ้านที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ควันธูปอาจกลายเป็นมลพิษได้ ให้เราเปลี่ยนควันธูปเป็น ‘คำพูดที่ดี’ แทน เราจะกล่าวคำอธิษฐานสำหรับแต่ละด้านของชีวิต ตามที่บ้านของเราต้องการการเยียวยาเป็นพิเศษ
ถ้าวันนี้ท่านกำลังติดขัดเรื่องการงาน ขอให้วางมือบนโต๊ะทำงาน หรือมองไปยังทิศที่ท่านทำงาน แล้วกล่าวตามนี้ครับ…
‘ขอให้บ้านหลังนี้ เป็นพื้นที่แห่งการทำงานอย่างมีสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ ขอให้พลังงานในบ้านช่วยสนับสนุนให้ข้าพเจ้ามีปัญญาแก้ไขปัญหา ขอให้ประตูแห่งโอกาสทุกบานที่ควรจะเปิดสำหรับเรา ได้เปิดออกด้วยความราบรื่นและเป็นธรรม และขอให้ประตูที่ไม่ใช่สำหรับเรา ได้ปิดลงอย่างนุ่มนวล โดยไม่สร้างความทุกข์ใจ’
ถ้าท่านกำลังกังวลใจเรื่องการเงิน…
‘ขอให้บ้านหลังนี้ เป็นพื้นที่แห่งความมีวินัยและความพอดี ขอให้เราทุกคนในบ้านใช้จ่ายอย่างมีปัญญา ขอให้สิ่งของทุกชิ้นที่อยู่ในบ้านนี้ถูกใช้งานอย่างคุ้มค่าที่สุด และขอให้ความมั่งคั่งร่ำรวยของบ้านเรา เริ่มต้นจากความเรียบง่ายภายในจิตใจ และการรู้จักแบ่งปันสู่ภายนอก’
ถ้าท่านอยากเสริมสร้างความรักและความสามัคคีในครอบครัว…
‘ขอให้คำพูดทุกคำที่เปล่งออกมาในบ้านหลังนี้ เป็นคำพูดที่นุ่มนวล ซื่อตรง และรู้จักรักษาหน้าตาและน้ำใจให้กันและกัน ขอให้โต๊ะกินข้าวเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนสามารถแบ่งปันเรื่องราวได้โดยไม่ถูกตัดสิน และขอให้ทุกค่ำคืนของเราจบลงด้วยคำขอบคุณอย่างน้อยหนึ่งประโยค ไม่ว่าจะต่อกันและกัน หรือต่อสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น’
ตอนนี้ เราจะมาเติม ‘โฉลกส่วนตัว’ ให้เข้าที่เข้าทางกันสักนิดนะครับ เพราะเราแต่ละคนเกิดต่างวันกัน ต่างธาตุกัน และมีลีลาชีวิตที่แตกต่างกันไป ใครสะดวกอยากจดโน้ตไว้ก็เตรียมได้เลยครับ
สำหรับท่านที่เกิดวันอาทิตย์: ท่านเป็นคนมีพลังงานของความเป็นผู้นำ แต่บางครั้งอาจจะร้อนแรงเกินไป โทนสีที่ช่วยให้ใจสงบคือ สีขาว สีควันบุหรี่ หรือเทาอ่อน ตัดด้วยสีของไม้ธรรมชาติ จะช่วยปรับสมดุลได้ดีมากครับ พยายามเลี่ยงการใช้สีแดงเข้มจัดในห้องนอน ตำแหน่งเตียงหรือโต๊ะทำงานควรวางให้มองเห็นประตู แต่ไม่ให้อยู่ตรงกับประตูพอดี ทิศที่มักจะทำให้ท่านรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษคือทิศตะวันออกในยามเช้า
สำหรับท่านที่เกิดวันจันทร์: ท่านเป็นคนอ่อนโยนและมีจินตนาการสูง โทนสีอุ่นๆ อย่างสีครีมนม สีชมพูอ่อน และสีฟ้าใส จะช่วยประคับประคองอารมณ์ของท่านได้ดี ห้องนอนไม่ควรใช้ไฟสีขาวจ้า ให้เปลี่ยนเป็นหลอดไฟวอร์มไวท์แทน จะช่วยให้ผ่อนคลายได้มากกว่า ทิศที่คนวันจันทร์หลายคนรู้สึกสบายใจและมั่นคงคือทิศตะวันตกเฉียงเหนือครับ
สำหรับท่านที่เกิดวันอังคาร: ท่านเป็นนักสู้ มีพลังงานเยอะ บ้านจึงควรมีพื้นที่สำหรับปลดปล่อยพลังงานส่วนเกิน เช่น มุมออกกำลังกายเล็กๆ หรือพื้นที่โล่งพอให้ได้ขยับตัว โทนสีเขียวใบไม้ สีน้ำตาลของไม้ และสีน้ำเงินกลางๆ กำลังดี จะช่วยลดความหุนหันพลันแล่นลงได้
สำหรับท่านที่เกิดวันพุธ: ท่านเป็นนักสื่อสารและนักคิด ผมแนะนำให้จัดพื้นที่ทำงานให้มีชั้นวางหนังสือและได้รับแสงธรรมชาติอย่างพอดีครับ โทนสีเขียวสะอาดตา สีเทาอ่อน และการตกแต่งด้วยไม้เรียบๆ จะช่วยส่งเสริมให้ท่านมีสมาธิและโฟกัสได้ดีขึ้น
สำหรับท่านที่เกิดวันพฤหัสบดี: ท่านเป็นคนรักการเรียนรู้ มีความเป็นครูและผูกพันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ควรจัดให้มีมุมแห่งการเรียนรู้หรือมุมศาสนาอย่างชัดเจน แม้จะเป็นเพียงโต๊ะเล็กๆ ที่เราใช้สวดมนต์บูชาได้จริงก็เพียงพอแล้ว โทนสีที่ส่งเสริมคือ สีทองอ่อน สีส้มอ่อน สีฟ้า และเทาอ่อน ใช้เป็นสีแอ็กเซนต์เล็กๆ น้อยๆ ก็พอครับ
สำหรับท่านที่เกิดวันศุกร์: ท่านเป็นศิลปินผู้รักความสวยงามและความสุนทรีย์ ให้เติมความละมุนละไมให้บ้านด้วยพื้นผิวสัมผัสที่นุ่มนวล เช่น ผ้าคลุมโซฟา พรม หมอนอิง โทนสีพาสเทลสะอาดๆ จะถูกโฉลกกับท่านมาก และการมีดอกไม้สดเล็กๆ ปักในแจกันบนโต๊ะกินข้าว จะช่วยเพิ่มพลังบวกให้ท่านได้อย่างมหาศาล
และสำหรับท่านที่เกิดวันเสาร์: ท่านเป็นคนหนักแน่น จริงจัง และรักความสงบ บ้านของท่านควรจะเรียบง่าย สงบ และให้ความรู้สึกแข็งแรง ทางเดินต้องโล่งเสมอ และควรลดของตกแต่งที่ไม่จำเป็นลง โทนสีดำ เทาเข้ม หรือน้ำตาลเข้ม สามารถใช้ได้ แต่ต้องตัดด้วยวัสดุธรรมชาติอย่างไม้และแสงไฟสีวอร์มไวท์ เพื่อไม่ให้บรรยากาศในบ้านหม่นหมองจนเกินไป
จำไว้นะครับทุกท่าน… นี่คือแนวทางเพื่อเสริมสร้างพลังใจ ให้ใช้เป็นเพียงสีแอ็กเซนต์ เช่น ผนังเพียงด้านเดียว ผ้าม่าน หมอนอิง หรืองานไม้บางชิ้น ให้เลือกในสิ่งที่เข้ากันได้ดีกับแสงแดดและทิศทางลมของบ้านท่านจริงๆ อย่าฝืนความสะดวกสบายเพียงเพราะคำว่า ‘มงคล’ เพราะบ้านที่ร้อน อับ หรือมืด… ไม่มีวันเป็นมงคลได้อย่างแท้จริงครับ
ต่อไป เราจะมาจัดตำแหน่ง 3 อย่างที่สำคัญที่สุดในบ้านให้เหมาะกับทุกคน
หนึ่ง เตียงนอน: หัวเตียงควรจะชิดกับผนังทึบเสมอ ไม่ควรวางเตียงลอยๆ กลางหน้าต่าง เพราะจะทำให้รู้สึกไม่มั่นคง และควรวางเตียงในตำแหน่งที่เมื่อเรานอนแล้ว สามารถมองเห็นประตูห้องได้แบบเฉียงๆ ไม่ใช่ตรงกันพอดีเป๊ะ ตำแหน่งนี้จะทำให้จิตใต้สำนึกของเรารู้สึกปลอดภัยและควบคุมสถานการณ์ได้ ส่งผลให้หลับลึกและมีคุณภาพมากขึ้น
สอง โต๊ะทำงาน: ควรนั่งในตำแหน่งที่หลังพิงผนังทึบเสมอ ไม่ควรนั่งหันหลังให้กับประตูหรือทางเดิน เพราะจะทำให้เรารู้สึกพะวงและคอยระแวงโดยไม่รู้ตัว ทำให้เสียสมาธิ หากจำเป็นจริงๆ ให้ลองหากระจกเล็กๆ มาติดไว้ที่มุมโต๊ะเพื่อให้มองเห็นด้านหลังได้
สาม ตู้เซฟหรือกระปุกออมสิน: ควรวางในมุมอับสายตา คือมุมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง ไม่ควรวางชิดผนังห้องน้ำหรือใกล้แหล่งความร้อนอย่างเตาไฟ และควรอยู่ในตำแหน่งที่ ‘หยิบใช้แล้วเก็บง่าย’ เพื่อเป็นการฝึกฝนวินัยทางการเงินให้เกิดขึ้นเป็นนิสัย
เติมมุมธรรมชาติที่มีชีวิตชีวาสักหนึ่งมุม อาจจะเป็นดอกบัวในอ่างเล็กๆ ดอกมะลิในกระถาง หรือพืชใบเขียวที่ชอบแสงรำไร วางไว้ข้างหน้าต่างที่รับแสงแดดอ่อนๆ และมีน้ำสะอาดหนึ่งแก้วที่เราเปลี่ยนใหม่ให้ทุกวัน เพื่อเป็นสัญญาใจกับตัวเองว่า—ในวันนี้ เราจะพูดดี ทำดี และคิดดี อย่างน้อยหนึ่งอย่าง
บัดนี้ ถึงเวลาที่เราจะ ‘แผ่เมตตาให้บ้าน’ อย่างเต็มหัวใจ ผมจะนำทุกท่านภาวนาสั้นๆ สัก 3 นาที หากใครพร้อมแล้ว ขอเชิญหลับตาลงอีกครั้ง หายใจเข้า–ออกช้าๆ ตามจังหวะเสียงของผมนะครับ
หายใจเข้า… เรารู้สึกถึงพื้นใต้ฝ่าเท้า เหมือนผืนดินที่คอยรองรับเราอย่างมั่นคง
หายใจออก… เราวางความกังวลใจทั้งหมดของวันนี้ไว้ชั่วคราว
หายใจเข้า… เราระลึกถึงใบหน้าของทุกคนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกับเรา
หายใจออก… เราส่งความรู้สึกให้อภัยซึ่งกันและกัน ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจยังค้างคาใจอยู่
หายใจเข้า… เราระลึกถึงท่านผู้ล่วงลับ และท่านเจ้าที่เจ้าทางผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้
หายใจออก… เราส่งความเคารพ ความนอบน้อม และคำขอบคุณจากใจจริงไปถึงท่าน
และกล่าวตามผมเบา ๆ ในใจครับ…
‘ขอความรัก ความกรุณา ความเมตตาปรานี จงแผ่ไปทั่วทุกตารางนิ้วของเรือนหลังนี้
ขอให้ทุกห้องเป็นที่พักพิงของหัวใจ ให้ทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ยนำมาซึ่งปัญญาและความเข้าใจ
และขอให้ลมหายใจเข้าออกทุกครั้งของเรา เป็นจุดเริ่มต้นของความดีงามครั้งใหม่’
สาธุ… เมื่อจิตของเราตั้งมั่นดีแล้ว เราจะมาสร้าง ‘ข้อตกลงของบ้านเป็นสุข’ ด้วยกันสามข้อครับ ไม่ใช่คำสาบานที่น่าอึดอัด แต่เป็นแนวทางง่าย ๆ ที่เราทุกคนสามารถทำได้จริง
หนึ่ง เราจะกินข้าวร่วมกันอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งมื้อ โดยปิดโทรศัพท์มือถือ แล้ววางหัวใจของเราลงเพื่อรับฟังกันและกันอย่างแท้จริง
สอง เราจะเคารพเวลาพักผ่อนและเวลาหลับนอนของกันและกัน พยายามลดเสียงดังจากเครื่องใช้ต่างๆ หลังเวลาสามทุ่มเป็นต้นไป
สาม เราจะฝึกพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ ให้ติดปากในทุกคืน อาจจะขอบคุณกันและกัน ขอบคุณบ้านที่คุ้มครองเรา ขอบคุณงานที่ให้เงินเราใช้ หรือขอบคุณชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่
ท่านใดที่เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ พิมพ์คำว่า ‘บ้านเป็นสุข’ ไว้ในช่องแสดงความคิดเห็น หรือกล่าวคำว่า ‘สาธุ’ รับในใจของท่าน เพื่อเป็นสัญญาใจร่วมกันนะครับ
หากใครอยากทำพิธีเล็ก ๆ นี้ในทุกวัน ให้ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีครับ หลังกลับถึงบ้าน วางกระเป๋า ล้างมือให้สะอาด แล้วเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมใหม่ๆ สักหนึ่งนาที จากนั้นไปที่มุมบุญของเรา จุดเทียนเล่มเล็กๆ หรือแค่เปิดไฟอุ่นๆ วางน้ำสะอาดหนึ่งแก้ว แล้วกล่าวสั้นๆ ว่า ‘วันนี้ ข้าพเจ้าขอแผ่บุญให้บ้านนี้เป็นสุข’ เพียงเท่านี้ ก็เหมือนกับการเติมออกซิเจนให้ทั้งบ้านและหัวใจของเราแล้วครับ
สำหรับท่านที่กำลังมองหาหรือจะเลือกซื้อบ้านใหม่ ผมขอฝากเคล็ดลับเล็กๆ ที่ใช้ควบคู่กับความเชื่อได้อย่างงดงาม—ให้ท่านไปดูบ้านในสองช่วงเวลา คือตอนเช้าและตอนบ่าย เพื่อสแกนทิศทางของแสงและลมจริงๆ ลองยืนนิ่งๆ เพื่อฟังเสียงรบกวนรอบข้าง แล้วลองไปยืนที่ประตูหน้าบ้าน หายใจเข้าลึกๆ แล้วถามใจตัวเองอย่างซื่อสัตย์ว่า ‘ที่นี่… ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและอ่อนโยนกับเราไหม’ ถ้าคำตอบคือ ‘ใช่’ จากนั้นค่อยพิจารณาเรื่องโทนสีที่ถูกโฉลก หรือบ้านเลขที่ที่เรารู้สึกดีด้วย แต่จำไว้เสมอว่า ความสบายในการอยู่อาศัย ต้องมาก่อนเสมอ
สุดท้ายนี้… ผมอยากจะบอกทุกท่านว่า บ้านไม่ต้องสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ แต่บ้านต้อง ‘ซื่อสัตย์’ กับชีวิตของเรา เรามีเท่าที่เรามี แต่เราสามารถทำให้ทุกตารางเมตรที่เรามีนั้น เปี่ยมไปด้วยความเมตตาได้เสมอ ตั้งแต่ทางเข้าที่สะอาดสะอ้าน มุมกินข้าวที่มีเสียงหัวเราะ ห้องนอนที่ทำให้เราหลับสนิท และมุมบุญเล็กๆ ที่คอยดึงสติให้เรากลับมารู้เนื้อรู้ตัว
คืนนี้ ก่อนที่ท่านจะนอนหลับ ถ้าอยากจะลองอีกสักครั้ง ให้วางมือบนหัวใจ แล้วพูดกับบ้านเหมือนกับว่าท่านกำลังพูดกับเพื่อนสนิทที่สุด…
‘ขอบคุณนะที่คอยคุ้มครองเราในวันนี้ ถ้าหากมีถ้อยคำหรือการกระทำใดของเราที่หยาบกระด้างไปบ้าง ขอให้บ้านโปรดรับรู้อย่างเข้าใจ พรุ่งนี้… เราจะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม’
แล้วปิดไฟให้มืดสนิท หายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง เหมือนฝากความกังวลทั้งหมดของท่านไว้ที่นอกประตู แล้วเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง แสงแรกที่ส่องเข้ามาในห้อง… ขอให้แสงนั้นเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า—ความสุขที่แท้จริงของบ้าน เริ่มต้นจากความดีเล็กๆ ที่เราทำซ้ำๆ ในทุกๆ วัน
ถ้าคลิปนี้ทำให้ท่านรู้สึกอยากกลับไปกอดบ้าน หรือกอดคนที่ท่านรักซึ่งอยู่ในบ้าน ผมก็รู้สึกยินดีและอนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ
หากท่านเห็นว่าเนื้อหาในวันนี้เป็นประโยชน์ และอยากจะติดตามเรื่องราวดีๆ ที่จะช่วยยกระดับชีวิตและที่อยู่อาศัยของท่านต่อไป ผมขอฝากช่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ กดติดตามและกดกระดิ่งแจ้งเตือนไว้ได้เลย เพราะในคลิปต่อๆ ไป เราจะมาเจาะลึกกันในเรื่อง ‘พลังของกระจกในบ้าน ใช้ให้เป็นคุณ อย่าให้เป็นโทษ’ และ ‘การจัดห้องนอนอย่างไรให้หลับลึกและฝันดี เสริมทั้งสุขภาพและความรัก’
และตามที่สัญญากันไว้ สำหรับท่านใดที่อยากได้แนวทางเฉพาะเจาะจงสำหรับวันเกิดของคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทิศของเตียง โต๊ะทำงาน หรือพาเลตสีที่เหมาะสม เพียงบอกวันเกิดของสมาชิกในบ้านท่านไว้ในคอมเมนต์ แล้วผมจะเข้ามาเรียบเรียงสรุปให้เป็นชุดแนวทางเฉพาะสำหรับบ้านของท่านเลยครับ
ขอบคุณที่รับฟังกันมาจนจบ ขออานุภาพแห่งบุญและความดีที่เราได้ตั้งใจทำร่วมกันในวันนี้ จงแผ่ไปทั่วเรือนของท่าน และสถิตอยู่ในหัวใจของทุกคนในบ้านตลอดไปนะครับ สวัสดีครับ

